จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจหรือการเมือง ตลอดจนปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ รวมไปถึงปัญหาหนี้สิน และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงมีการชะลอกำลังซื้อ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนให้มีขนาดเล็กลง จากเดิมผู้บริโภคจะนิยมซื้อสินค้าบิ๊กไซส์ แต่ปัจจุบันหันมาซื้อไซส์ขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น
แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการสินค้าต้องหันมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ด้วยการหันมาผลิตสินค้าที่มีขนาดหลากหลายมากขึ้น เพื่ออุดช่องโหว่การทำตลาดท่วมกลางปัจจัยลบที่รุมเร้า เพราะถ้าหากปรับราคาสินค้าขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบตอนนี้ อาจได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้
สำหรับปัจจัยลบที่น่าจับตามองในขณะนี้ คงจะหนีไม่พ้นปัญหาน้ำท่วม เพราะทุกครั้งที่เกิดปัญหาดังกล่าว การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคก็จะปรับตัวลดลง ซึ่งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ เพราะตอนนี้ยอดขายเริ่มชะลอตัวอีกครั้ง หลังจากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-ส.ค.) ภาพรวมผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมีอัตราการเติบโตเพียง 5-6% ปรับลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 10-11% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจและการเมือง
อัตราการเติบโตดังกล่าวถือว่ากลับไปยืนอยู่ในจุดเดิมเมื่อช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้เล่นในตลาดไม่ออกมาเน้นการทำกิจกรรมการตลาด และช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาทำตลาดเหมือนกับปัจจุบันที่มีทั้งผู้เล่นแบรนด์ญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป เข้ามาทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมากขึ้น
แม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้เล่นหน้าใหม่ออกมาทำตลาด ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดก็ออกมาเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่และออกมาทำกิจกรรมการตลาดมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถต้านแรงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ปรับลดลงได้ ส่งผลให้ยังต้องลุ้นโค้งสุดท้าย ซึ่งหากไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 15,600 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดแชมพู 1.1 หมื่นล้านบาท และตลาดคอนดิชั่นเนอร์ 4,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 10,700 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดแชมพู 7,600 ล้านบาท และคอนดิชั่นเนอร์ 3,100 ล้านบาท
ในมูลค่าดังกล่าวหากแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายกลุ่มบิวตี้หรือเพื่อความงาม เช่น ซันซิล แพนทีน โดฟ และรีจอยส์ จะอยู่ที่ประมาณ 65% ลดลงจากปีก่อนที่มีสัดส่วนยอดขาย 70% ขณะที่กลุ่ม แอนตี้-แดนดรัฟ หรือขจัดรังแคมีสัดส่วนอยู่ที่ 35% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 30% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดหันมาเปิดตัวสูตรใหม่และทำกิจกรรมการตลาดอย่างเนื่อง
ขณะที่ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมกำลังซบเซา แต่ในส่วนของบริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกรมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ พีแอนด์จี หนึ่งในบริษัทที่ทำธุรกิจดังกล่าว ยังคงมียอดขายเติบโตเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ด้วยการเพิ่มขนาดของบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่มีความหลากหลาย เช่น ขนาด 70 มล.,180 มล.,350 มล.,500 มล.,675 มล.และขนาด 850 มล.
นายวรศิษย์ ตุรงค์สมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกรมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่มียอดขายเติบโตสูงสุดในขณะนี้จะอยู่ที่ประมาณ 400-499 มล. ตามด้วยขนาด 300-399 มล. ซึ่งต่างไปจากก่อนหน้านี้ที่ผู้บริโภคจะนิยมซื้อขนาดบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 500 มล. ขึ้นไป ส่วนตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดยังคงเป็นตลาดต่ำกว่า 100 มล. และตลาด 100-199 มล.
สำหรับแบรนด์ที่มียอดขายเติบโตมากที่สุด คือ เฮดแอนด์โชว์เดอร์ และรีจอยส์ ส่วนแพนทีนมียอดขายที่ทรงตัว เนื่องจากการแข่งขันในตลาดรุนแรง แต่หากมองในด้านของสัดส่วนยอดขาย แพนทีนยังคงมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 50% ตามด้วยเฮดแอนด์โชว์เดอร์ 25-30% และรีจอยส์ 20-25%
จากผลการตอบรับของผลิตภัณฑ์เฮดแอนด์โชว์เดอร์ที่ได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค ส่งผลให้พีแอนด์จีเดินหน้าทำกิจกรรมการตลาดแบรนด์เฮดแอนด์โชว์เดอร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ "เทคโนโลยี เฟรช เบิร์สต์" ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกลิ่นหอมขึ้นทันทีที่แชมพูหรือครีมนวดผมสัมผัสกับน้ำ โดย เฮดแอนด์โชว์เดอร์ ใหม่ จะช่วยขจัดรังแคที่มองเห็นได้ และบรรเทาการคันบนหนังศีรษะ
นวัตกรรมดังกล่าวได้เพิ่มความหอมสุดพิเศษที่จะสร้างสุดยอดประสบการณ์การอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดีไปตลอดทั้งวัน พร้อมเริ่มต้นทุกวันด้วยความมั่นใจ หมดกังวลแม้ต้องอยู่ใกล้คนอื่นแค่ไหน และกล้าที่จะแสดงความรักหรือกอดคนที่คุณใกล้ชิดได้อย่างเต็มที่ สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ขจัดรังแคที่สามารถแก้ไขปัญหารังแคได้อย่างตรงจุด และให้ผลลัพธ์ที่มากกว่าการขจัดรังแคที่มองเห็นได้ที่มีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้ พีแอนด์จี ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เฮดแอนด์โชว์เดอร์โฉมใหม่ภายใต้แคมเปญ “มั่นใจกอดกันใกล้ขึ้น” เพื่อให้บรรจุภัณฑ์มีความสวยงาม น่าใช้ และสะดุดตาดึงดูดใจผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังเตรียมกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานทั้งออฟไลน์และ ออนไลน์ ด้วยการดึง 2 แบรนด์แอมบาสเดอร์คนเดิม คือ สมาร์ท-กฎษดา พรเวโรจน์ และ คิมเบอร์ลี่ แอน เทียมสิริ มาร่วมถ่ายทอดความสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบพี่น้องที่มีประสบการณ์ผมสวยไม่มีรังแค 3 มั่นใจกล้าอยู่ใกล้กันมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ พีแอนด์จี ยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมให้ใกล้ชิดกับผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นการรับรู้ในแบรนด์สินค้าและสินค้าสูตรใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาด ด้วยการทำกิจกรรมในแคมเปญ “มั่นใจกอดกันใกล้ขึ้น” ไปตามสถานที่ต่างๆ ผ่านทางบูทกิจกรรมถ่ายภาพ และแนะนำสินค้าบริเวณหน้าโรงภาพยนตทั่วกรุงเทพมหานคร
หลังจากออกมาทำกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง พีแอนด์จี คาดว่าสิ้นปีจะสามารถเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดของเฮดแอนด์โชว์เดอร์ได้เป็นที่น่าพอใจ จากปัจจุบันเฮดแอนด์โชว์เดอร์มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 11.4% เป็นอันดับ 2 ในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมกลุ่มขจัดรังแค รองจากแบรนด์เคลียร์
ขณะที่เป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดรวมในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมของพีแอนด์จี ปัจจุบันมีส่วนแบ่งอยู่ที่ประมาณ 34.8% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีส่วนแบ่งการตลาด 33.5% เป็นอันดับ 2 รองจากบริษัท ยูนิลีเวอร์ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในทุกกลุ่มสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ขจัดรังแค หรือเพื่อความงาม ซึ่งปัจจุบันมี ซันซิลเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 25.8% ตามด้วยแพนทีน 16.3% โดฟ 16% ลอลิอัล 6.7% และรีจอยส์ 6.3%
จากปัจจัยลบที่ยังคงรุมเร้า ส่งผลให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ยังคงต้องจับตามองปัจจัยแวดล้อมอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าหากมีปัจจัยลบรุนแรงเกิดขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นก็ทำให้ผู้บริโภคต้องชะลอกำลังซื้ออยู่แล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นผู้ประกอบการสินค้าคงต้องก่ายหน้าผากอีกครั้ง เนื่องจากยอดขายที่วางไว้อาจพลาดเป้าหมายก็เป็นได้
ข่าวเด่น