ภายหลังจากปรับโครงสร้างองค์กรภายในครั้งใหญ่ เพื่อแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบัน “แม็คยีนส์” พร้อมแล้วที่จะผงาดความยิ่งใหญ่ โชว์ความเป็นผลิตภัณฑ์ยีนส์สายพันธ์ไทยที่มีอายุยาวนานถึง 38 ปี แม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยลบเกิดขึ้นหลายด้าน ส่งผลให้ยอดขายต่ำกว่าเป้าหมายไปบ้าง แต่ปัจจัยดังกล่าวก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะธุรกิจยังคงเดินต่อไปในทางตรงกันข้ามกับมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นภายหลังจากบริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศซื้อกิจการบริษัท ไทม์เดคโคคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจและจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ชั้นนำของโลกมาอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท แม็คกรุ๊ป
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากบริษัท แม็คกรุ๊ป ใช้งบ 1 ล้านบาท ก่อตั้งบริษัท ลุค บาลานซ์ จำกัด ซึ่งบริษัท แม็คกรุ๊ป ถือหุ้น 99.97% ในบริษัทดังกล่าว เพื่อทำหน้าที่ซื้อกิจการโดยเฉพาะ และบริษัทแรกที่ได้ดำเนินการ คือ บริษัท ไทม์เดคโค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ดังชั้นนำจากทั่วโลก ด้วยมูลค่าการลงทุน 200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 51%
น.ส.สุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC กล่าวว่าการลงทุนในครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นจากทีมงาน และการเงินที่แข็งแกร่งของแม็คกรุ๊ป ที่จะช่วยในการวางแผน ต่อรอง และบริหารเครือข่ายการจัดจำหน่าย บริหารคลังสินค้าและการกระจายสินค้า รวมถึงการขยายธุรกิจของไทม์เดคโค
นอกจากนี้ ยังช่วยให้แม็คกรุ๊ป ก้าวเข้าสู่การเป็นธุรกิจไลฟ์สไตล์อย่างเต็มตัว ภายหลังจากผนึกกำลังที่ลงตัวของทั้ง 2 ฝ่าย คือ จากเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายและคอนเนคชั่นในต่างจังหวัด รวมถึงห้างสรรพสินค้าในท้องถิ่น ระบบคลังสินค้าและเครือข่ายการกระจายสินค้า ระบบคอมพิวเตอร์ ณ จุดขาย โครงการการฝึกอบรมและพัฒนาทีมขาย และระบบการบัญชี อีกทั้งสามารถใช้จุดจำหน่ายของแม็คกรุ๊ปที่มีอยู่มาบริหารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายภาณุ ณรงค์ชัยกุล กรรมการบริหาร บริษัท ไทม์เดคโค คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความ ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับแม็คกรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำในแวดวงธุรกิจค้าปลีกเครื่องแต่งกาย นอกจากนี้ยังเห็นถึงความแข็งแกร่งของแม็คกรุ๊ป ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่าย ระบบการเงินการบัญชี ทีมผู้บริหารและทีมงานที่มีประสบการณ์ การเข้ามาลงทุนของแม็คกรุ๊ปในครั้งนี้ จะส่งให้ไทม์เดคโคสามารถขยายธุรกิจได้เร็วขึ้นและประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ปัจจุบันไทม์เดคโคนำเข้านาฬิกากว่า 20 แบรนด์ โดยมีจุดขาย 103 แห่งทั่วประเทศ
ด้าน น.ส.อรศิริ ชินกำธรวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ แม็คยีนส์และแม็คมินิ บริษัท แมคกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวในบริษัท ไทม์เดคโค่คอร์ปเรชั่นถือเป็นการต่อยอดธุรกิจของบริษัทให้มีความหลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบันมีเพียงสินค้ายีนส์จำหน่ายเท่านั้น ซึ่งหลังจากทำการซื้อขายกิจการเรียบร้อยในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะแบรนด์นาฬิกาต่างๆ ของบริษัท ไทม์เดคโค่คอร์ปอเรชั่น เข้ามาจำหน่ายภายในร้านแม็คยีนส์ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ ดีเซล ,ฟอสซิล,เบอร์เบอรี่ ,ดีเคเอ็นวาย หรือมาร์คจาคอป
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของแม็คกรุ๊ป นับจากนี้ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวสินค้าแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แม็คกรุ๊ป ได้มีการเปิดตัวนำเสนอแบรนด์น้องใหม่เข้ามาทำตลาดจำนวน 3 แบรนด์ คือ แม็คพิงค์แบรนด์สินค้าแฟชั่นสำหรับสุภาพสตรีแบรนด์แม็ค มินิ เสื้อผ้าสำหรับเด็ก และบลูบราเธอร์กางเกงยีนส์และเสื้อผ้าระดับพรีเมียม เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากแบรนด์สินค้าใหม่ บริษัทได้เปิดช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ โดยการเปิดเว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์ www.WoWme.co.th เพื่อนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ในราคาพิเศษ โดยสินค้าที่นำเสนอจะมีทั้งแบรนด์สินค้าภายใต้กลุ่มบริษัทของแม็คกรุ๊ป และสินค้าที่แม็คกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเจ้าของ โดยในส่วนของแบรนด์ใหม่จะมีสินค้าจำหน่ายทั้งช่องทางปกติ และช่องทางอินเตอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม หลังจากส่งแบรนด์แม็คมินิ เข้ามาทำตลาดระยะหนึ่ง แม็คกรุ๊ป พบว่าได้ผลการตอบรับที่ดี จึงกางแผนที่จะออกมาทำตลาดอย่างจริงจัง ด้วยการวางกลยุทธ์การทำตลาดเน้นเจาะเด็กก่อนวัยรุ่นอายุ 6-12 ปี เน้นเด็กผู้ชายเป็นหลัก เนื่องจากไลฟ์สไตล์เด็กผู้ชายจะใส่กางเกงยีนส์มากกว่าเด็กผู้หญิง
แม้ว่าความต้องการใส่ยีนส์ของเด็กผู้ชายจะมีมากกว่าเด็กผู้หญิง แต่ในไตรมาส 3 ปีหน้าแม็คกรุ๊ป ก็มีแผนที่จะเปิดตัวกางเกงยีนส์แม็คมินิ สำหรับเด็กผู้หญิง เพื่อให้สินค้าครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของราคาขายกางเกงยีนส์จะอยู่ที่ประมาณ 1,300-1,500 บาท ขณะที่เสื้อจะมีราคาเฉลี่ยที่ 490-1,090 บาท ซึ่งหลังจากเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดเพิ่มขึ้นคาดว่าอีก 3 ปีนับจากนี้จะมีรายได้จากแม็คมินิ 100 ล้านบาท
จากการออกมาเปิดตัวแบรนด์แม็คมินิ ส่งผลให้ปัจจุบัน แม็คกรุ๊ป มีแบรนด์สินค้าที่ค่อนข้างครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย เช่น แม็คยีนส์เจาะกลุ่มอายุ 20-60 ปี แม็คเลดี้ เจาะกลุ่มผู้หญิง 18-25 ปี บลูบราเธอร์เจาะกลุ่ม 10-60 ปี แม็คมีเจาะกลุ่ม 40 ปีขึ้นไป แม็คมินิเจาะกลุ่มเด็ก 6-12 ปี และไบค์ยีนส์เจาะกลุ่มผู้ที่ชอบขี่จักรยานยนต์ เป็นต้น
ในด้านของช่องทางจำหน่ายปัจจุบันแม็คกรุ๊ป มีช่องทางการจัดจำหน่ายอยู่ประมาณ 547 สาขาทั่วประเทศ ในจำนวนดังกล่าวเป็นร้านค้าปลีกของตนเองจำนวน 140 แห่ง ห้างค้าปลีกจำนวน 407 จากแผนการทำตลาดในครึ่งปีหลังที่ยังเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แม็คกรุ๊ป คาดการณ์ว่าจะมีช่องทางจำหน่ายได้มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้จาก 584 สาขาเป็น 601 แห่ง สาขาภายในสิ้นปี 2556
นอกจากจะขยายตลาดในประเทศแล้ว แม็คกรุ๊ป ยังมีแผนที่จะส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ภายหลังจากเข้าไปทดลองทำตลาดในประเทศพม่าผ่านตัวแทนจำหน่ายได้ผลการตอบรับที่ดี โดยในปลายปีนี้มีแผนที่จะเข้าไปทำตลาดในมาเลเซีย และปีหน้าจะเข้าไปทำตลาดในกัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งหลังจากขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นคาดว่าสิ้นปี 2557 จะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 25-30%
ปัจจัยที่ทำให้แม็คกรุ๊ป ออกมาทำการตลาดมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจมาจากปัจจัยลบรอบด้านที่เกิดขึ้น แต่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคือ การชะลอกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ แม็คกรุ๊ป ออกมายอมรับว่าสิ้นปีนี้อาจมีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย พร้อมกับลุ้นว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงของการจับจ่ายใช้สอยจะช่วยกู้ยอดขายให้กับมาเติบโตตามเป้าหมายอีกครั้งได้หรือไม่
น.ส.สุณี กล่าวว่า ปีนี้บริษัทคงจะมีรายได้เติบโตไม่ถึงเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโตได้มากกว่า 20% จากปี 2555 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,564 ล้านบาท เนื่องจากภาวะการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัว และพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท แต่ถึงแม่ว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ แต่หากนำมาเปรียบเทียบกับปีก่อน ภาพรวมรายได้ของปีนี้ยังมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า
ปัจจุบันตลาดยีนส์ในช่องทางดีพาร์ทเม้นท์สโตร์มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของแม็คยีนส์มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในช่องทางดังกล่าว 39% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีส่วนแบ่งการตลาด 38% ซึ่งหลังจากออกมาขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แม็คกรุ๊ป ก็มั่นใจว่าจะผลักดันให้ยอดขายแม็คยีนส์ภายใน 3 ปีนับจากนี้ มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 45% ขึ้นเป็นผู้นำตลาดแทนแบรนด์ลี ได้อย่างแน่นอน
ข่าวเด่น