TMB หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 3/2556 ซึ่งธนาคารและบริษัทย่อยมีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรอง จำนวน 3,311 ล้านบาท และกำไรสุทธิจำนวน 1,870 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% และ 67% ตามลำดับเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว และสำหรับงวด 9 เดือนของปี 2556 กำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองมีจำนวน 10,448 ล้านบาท และกำไรสุทธิจำนวน 3,938 ล้านบาท ซึ่งเพิ่ม 39% และ 36% ตามลำดับเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้การเติบโตของกำไรเป็นผลจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้จากการดำเนินงานพร้อมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพของธนาคาร ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ลดลงเป็น 3.8% จาก 4.1%เมื่อสิ้นปีที่แล้ว
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMB กล่าวว่า “จากการที่ธนาคารมุ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตรงใจและสร้างคุณค่าที่แท้จริงกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์และบริการธุรกรรมทางการเงิน (Transactional Banking) ธนาคารจึงมีผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยในงวด 9 เดือนของปีนี้ ธนาคารมีการเติบโตของเงินฝากประมาณ 20,000 ล้านบาทหรือ 4.0% จากสิ้นปี 2555
ส่วนด้านสินเชื่อ ธนาคารสามารถขยายสินเชื่อได้ประมาณ 22,500 ล้านบาทหรือ 5.0% จากสิ้นปีที่แล้ว โดยเป็นผลจากขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้ผลตอบแทนของสินเชื่อรวมดีขึ้น และเมื่อประกอบกับการบริหารต้นทุนทางการเงินที่ดี ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net interest margin: NIM) เพิ่มขึ้นเป็น 3.0% จาก 2.7% และส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 19% จากปีที่แล้ว นอกจากรายได้ดอกเบี้ยที่ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอแล้ว ธนาคารได้นำเสนอผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าเพิ่มเติมบนฐานลูกค้าใหม่ซึ่งได้ไว้วางใจมาใช้บริการของธนาคาร ทำให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และรายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งเมื่อประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพจากการที่ธนาคารได้นำLean Six Sigma มาใช้กว่า 3 ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียง 6% ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงเป็น 50% จาก 57% และมีกำไรเพิ่มขึ้น 36 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน”
จากการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น คุณภาพสินเชื่อยังปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-performing loans: NPL) ลดลง 336 ล้านบาทจากสิ้นปีที่แล้ว และสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ลดลงมาอยู่ที่ 3.5% สำหรับงบเฉพาะธนาคารและ 3.8% สำหรับงบการเงินรวม ทั้งนี้สัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ของธนาคารและบริษัทย่อย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 138% จาก 113% ณ สิ้นปีที่แล้ว นอกจากนี้ ธนาคารยังคงรักษาสภาพคล่องในระดับสูง สะท้อนจากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to deposit ratio) ที่อยู่ที่ 92% ในไตรมาสนี้
ธนาคารยังคงดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 16.8% ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 11.2%ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.5% และ 6% ตามลำดับ
ข่าวเด่น