ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่มีประกัน “บ. ทรู คอร์ปอเรชั่น” ที่ระดับ “BBB” และ “BBB-” จัดอันดับหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทที่ระดับ “BBB-” และคงแนวโน้ม “Negative”
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB-” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB-” เช่นเดียวกันด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Negative” หรือ “ลบ” ทั้งนี้ บริษัทวางแผนจะนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และขยายธุรกิจ
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมที่มีเทคโนโลยีโครงข่ายสื่อสารที่หลากหลาย ตลอดจนความแข็งแกร่งทางการตลาดในธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) และธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก รวมทั้งความคาดหวังว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจะยังคงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวมีข้อจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหลัก รวมถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และภาระหนี้จำนวนมากของบริษัท ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเสี่ยงว่าผลประกอบการและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอาจไม่ปรับตัวดีขึ้นตามประมาณการเนื่องจากการลงทุนที่สูงในกลุ่มธุรกิจทรูโมบายและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก
อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทไม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นภายในปี 2557 หรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทไม่ปรับตัวดีขึ้นภายในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตจะได้รับการปรับในเชิงบวกหากบริษัทสามารถจัดตั้งกองทุนได้สำเร็จ และผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามประมาณการ
ทั้งนี้บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นก่อตั้งในปี 2533 และมีธุรกิจหลัก 3 กลุ่มซึ่งประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจทรูออนไลน์ (TrueOnline) ซึ่งให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง กลุ่มธุรกิจทรูโมบาย (True Mobile) ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และกลุ่มธุรกิจทรูวิชั่นส์ (TrueVisions) ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก บริษัทมีรายได้ในปี 2555 อยู่ที่ 8.94 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มสร้างรายได้ให้บริษัทในสัดส่วน 26% 63% และ 11% ตามลำดับ ในขณะที่สัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 60% 29% และ 12% ตามลำดับ
บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งของกลุ่มทรูออนไลน์สะท้อนจากสัดส่วนทางการตลาดทั่วประเทศจากรายได้การให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงประมาณ 39% และในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณ 68% บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลำดับที่ 3 ของประเทศด้วย ณ เดือนมิถุนายน 2556 กลุ่มธุรกิจทรูวิชั่นส์มีลูกค้าที่เป็นสมาชิกรายเดือนประมาณ 733,000 ราย และที่ไม่เป็นสมาชิกรายเดือนประมาณ 1.5 ล้านราย ส่วนกลุ่มทรูโมบายมีสัดส่วนรายได้ทางการตลาดจากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ที่ประมาณ 16% ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายจะให้การสนับสนุนแก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ณ เดือนสิงหาคม 2556 เครือเจริญโภคภัณฑ์มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทประมาณ 63%
สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง บริษัทมีรายได้ที่เติบโตในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 และเต็มปี 2555 อยู่ที่ 9.7% และ 24.2% ตามลำดับ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่มทรูโมบายเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเป็นผู้ให้บริการ 3จีรายแรก รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในกลุ่มทรูโมบายและกลุ่มทรูวิชั่นส์ทำให้อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย/รายได้) ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 19.3% ในครึ่งแรกของปี 2556 เปรียบเทียบกับ 18.7% ในปี 2555 และ 23.8% ในปี 2554 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากที่ระดับ 91.5% ณ เดือนมิถุนายน 2556
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 9.4 พันล้านบาทถึง 1.11 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 6% ต่อปี โดยรายได้จากการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน และบริการด้านข้อมูลในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก รายได้ของบริษัทมีความเสี่ยงที่จะลดลงได้ในช่วงปลายปี 2557 เมื่อระยะเวลา 1 ปีสำหรับการให้บริการของทรูมูฟหมดอายุลง
ทั้งนี้ กลุ่มทรูโมบายอาจไม่สามารถโอนย้ายผู้ใช้บริการภายใต้โครงข่าย 2จี มาได้หมดและอาจทำให้รายได้ของกลุ่มทรูโมบายลดลงประมาณ 5% ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้ง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) ของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในปี 2556-2557 และน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2558 ไปอยู่ที่ระดับประมาณ 25% หลังจากที่โครงข่าย 2จี หยุดให้บริการและผู้ใช้บริการทั้งหมดอยู่ภายใต้โครงข่าย 3จี ซึ่งมีต้นทุนใบอนุญาตที่ต่ำกว่า
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าค่าใช้จ่ายของทรูโมบายจะลดลงมาอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของรายได้ ทั้งนี้ บริษัทน่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2556-2557 จากนั้นกระแสเงินสดจากการดำเนินงานน่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2558-2559 เนื่องจากอัตราส่วนกำไรที่ดีขึ้น ในส่วนของค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนซึ่งรวมถึงใบอนุญาต 3จี นั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.8-2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถปรับโครงสร้างเงินทุนให้ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญภายในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยในเดือนตุลาคม 2556 ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติให้บริษัทจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าประมาณ 6-8 หมื่นล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินสดประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาทหลังหักเงินลงทุนประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่ากองทุน โดยเงินสดที่ได้รับคาดว่าจะนำไปใช้ชำระคืนหนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 หมื่นล้านบาทจากการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์
ทั้งนี้ บริษัทจะมีข้อผูกพันด้านรายจ่ายและการโอนสิทธิในการรับรายได้ให้แก่กองทุนประมาณ 5 พันล้านบาทต่อปีเป็นระยะเวลาประมาณ 12-14 ปี ทริสเรทติ้งถือว่ามูลค่าปัจจุบันของรายจ่ายผูกพันดังกล่าวประมาณ 4 หมื่นล้านบาทเป็นหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย
ทริสเรทติ้งมองว่าการจัดตั้งกองทุนจะช่วยให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 67% และช่วยเสริมความยืดหยุ่นให้แก่บริษัทในการระดมทุนในอนาคต อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทต่ำกว่าอันดับเครดิตของบริษัทอยู่ 1 ขั้นเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนหนี้ที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์ในระดับสูง
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TRUE13NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 BBB-
TRUE144B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 BBB-
TRUE16OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB-
TRUE174A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 7,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB-
TRUE177A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 11,213 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB-
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2558 BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative
ข่าวเด่น