เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจสหรัฐฯไตรมาส 4 วูบ


 

 

 

แม้ขณะนี้สหรัฐฯจะผ่านพ้นจากวิกฤติการคลังในประเทศจนต้องประกาศสถานการณ์ Government  Shutdown  แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วง  16 วันที่รัฐบาลต้องหยุดทำการ  โดยเฉพาะผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 4  ซึ่งทำเนียบขาวระบุว่า   การเผชิญหน้ากันทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา     มีแนวโน้มว่าจะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาส  4 หายไปอย่างน้อย 0.25 เปอร์เซ็นต์  

 

 

นายเจสัน  เฟอร์แมน   ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์อย่างเป็นทางการ เรื่องการปิดทำการสำนักงานของรัฐบาลกลางบางส่วนที่ไม่จำเป็นและการเผชิญหน้าเรื่องเพดานหนี้    แสดงให้เห็นว่า สถานการณ์ทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองเป็นเวลา 16 วัน   ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4หายไป 0.25 เปอร์เซ็นต์   หมายความว่า การจ้างงานที่ควรจะได้ในเดือนตุลาคมน้อยลง 120,000 ตำแหน่ง 

 

ส่วนสถาบันจัดอันดับสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์  ประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เกิดจากการปิดหน่วยราชการนาน 16 วัน  ไว้ที่ราว 24,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7 แสน 4 หมื่นล้านบาท   และได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของสหรัฐฯในไตรมาส 4 ลง 0.6 เปอร์เซ็นต์  และลดตัวเลขคาดการณ์จีดีพีของปีนี้เหลือใกล้ๆ 2% จาก 3%

จากผลสำรวจของวอชิงตันโพสต์-เอบีซีนิวส์ระหว่างวันที่ 17-20 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐ   ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต  ทำให้มีคะแนนนิยมลดลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์    โดยมีผู้ตอบเพียงร้อยละ 25  ที่เห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มทีปาร์ตี 

ขณะที่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตมีคะแนนผู้ไม่ชอบมากที่สุดเป็น ประวัติการณ์ที่ร้อยละ 63 และ 49 ตามลำดับ   ผู้ตอบร้อยละ 53 โทษว่า  ปัญหาเกิดจากพรรครีพับลิกัน   ร้อยละ 29 โทษประธานาธิบดีบารัค โอบามา และร้อยละ 15 โทษว่า  ผิดพอกันทั้งสองฝ่าย   

ทั้งนี้การปิดหน่วยงานรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1-16 ตุลาคมเกิดขึ้นหลังจากกลุ่มทีปาร์ตีที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมสุดขั้วในพรรครีพับลิกัน พยายามโยงการผ่านร่างงบประมาณกับการแก้ไขกฎหมายปฏิรูปการประกันสุขภาพของประธานาธิบดีโอบามา

แม้ในที่สุดรัฐบาลประธานาธิบดีโอบามา  จะแก้ปัญหาด้านงบประมาณที่เกิดขึ้นได้  แต่ก็เป็นเพียงการยืดเวลาออกไปเป็นต้นปีหน้าเท่านั้น    ซึ่งหากรัฐบาลสหรัฐฯยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้อย่างจริงจัง   ความกังวลของนักลงทุนก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง


LastUpdate 24/10/2556 12:28:40 โดย : Admin
24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 8:31 pm