หุ้นไอพีโอ "โอเชี่ยน คอมเมิร์ช" มั่นใจเข้าเทรดตลาด เอ็ม เอไอ ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้แน่นอน ไม่กังวลปัจจัยการเมือง ที่ปรึกษาย้ำนักลงทุนเข้าใจธุรกิจ และที่ผ่านมาบริษัทสามารถฟันฝ่าวิกฤตและมีกำไรแม้ปีที่ผ่านมีปัญหาการเมือง ด้านผู้บริหารย้ำหลังเดินสายโรดโชว์ 9 จังหวัดผลตอบรับดีมาก
นายไพบูลย์ อรุณประสบสุข กรรมการบริหาร บริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในฐานะที่บริษัทเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการเตรียมตัวนำบริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) (OCM) ธุรกิจนำเข้า ผลิต ประกอบ และจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับประปา และสุขภัณฑ์ แบรนด์ “DUSS” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นแบบแสดงรายการ หรือ ไฟลิ่ง เพื่อเตรียมกระจายหุ้นไอพีโอ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีปัจจัยด้านการเมืองกดดัน แต่บริษัทก็ยังมุ่งที่จะเดินสายนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนเพื่อโรดโชว์ซึ่งขณะนี้ได้โรดโชว์ไปแล้วรวม 9 จังหวัด ซึ่งผลตอบรับอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และสิ่งสำคัญแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความมั่นใจต่อพื้นฐานของธุรกิจที่เข้าใจง่ายและมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของทุกคน
"นอกจากนี้ บริษัทยังมีการเตรียมที่จะให้ส่วนลด (Discount) กับนักลงทุนด้วย จากโดยทั่วไปหุ้นไอพีโอปีนี้จะมีดิสเคาท์อยู่ที้่ประมาณ 20-30 % ทั้งจำนวนหุ้นที่เสนอขายก็ไม่ได้มาก มีแค่ 100 ล้านหุ้น เท่านั้น ดังนั้นแม้จะมีบรรยากาศทางการเมืองกระทบภาวะการลงทุน แต่ยังเชื่อมั่นว่านักลงทุนจะเข้าใจธุรกิจนี้ดี และที่ผ่านมาบริษัทก็สามารถทำกำไรได้แม้ว่าจะมีเหตุการณ์บ้านเมืองดังเช่นในปี 2549" นายไพบูลย์กล่าว
ด้าน นายอุชัย วิไลเลิศโภคา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) (OCM) กล่าวว่า หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ทางบริษัทฯจะรักษาการเติบโตของรายได้ใกล้เคียงปัจจุบันที่ 22-25% ต่อปี โดยบริษัทฯมีแนวทางคือการเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้น และมีการบริหารลดต้นทุนเพื่อให้ได้กำไรเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเพิ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นดีเข้ามาจำหน่ายมากขึ้นด้วย โดยคาดว่าจะสรุปราคาเปิดจองซื้อหุ้น IPO รวมถึงเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ ได้ภายในสิ้นปี 2556
ทั้งนี้ ภายหลังขายหุ้นไอพีโอ สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่จะลดเหลือ 77.27% หรือประมาณ 340 ล้านหุ้น ซึ่งตามเกณฑ์ภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาด เอ็ม เอ ไอ กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่จะติดเกณฑ์การห้ามซื้อขายหุ้น(ไซเรนท์ พีเรียด) จำนวนรวมที่ 55% ส่วนที่เกินจากเกณฑ์ดังกล่าว ยืนยันว่า ทางผู้บริหารไม่มีแนวคิดจะขายออกมา ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
อนึ่ง ส้ดส่วนของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ นายอุชัย วิไลเลิศโภคา, นายสันติ งามอรุณโชติ และนายสุชาติ งามอรุณโชติ จะเหลือสัดส่วนหุ้นหลังการขายไอพีโอที่ 76% ,1.09% และ 0.18% ตามลำดับ รวมทั้งสิ้น 77.27% และอีก 22.73% คือ ส่วนของประชาชนทั่วไป (IPO)
สำหรับแผนการใช้เงินหลังจากที่ได้เงิน IPO จะนำมาขยายโรงงานเฟสแรกประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายความต้องการของตลาด และรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมก็อกน้ำในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ดีอี) ประมาณ 2 เท่า และคาดว่าหลังเข้าซื้อขาย ดีอีจะลดลงเหลือประมาณ 1 เท่า
นายอุชัยกล่าวต่อว่า สำหรับผลการเดินสายนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (โรดโชว์) ทั้ง 9 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่ พิษณุโลก อุบลราชธานี สงขลา และกรุงเทพฯ นั้นได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ให้การตอบรับและเข้ารับฟังการนำเสนอข้อมูลของบริษัทฯ มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนเข้าใจพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัท
ข่าวเด่น