“อิชิตัน” พร้อมเดิมหน้าเข้าเทรด ปีนี้ คาดเคาะราคาไอพีโอ 22 พฤศจิกายนนี้ ไม่หวันการเมือง แต่หากรุนแรงพร้อมเปิดออฟชั่นเลื่อนได้ เนื่องจากยังไม่ได้กระจายหุ้น คาดหลังขยายลงทุนเฟส 2 บริษัทตั้งเป้าปั๊มรายได้ 1 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี ส่วนมาร์จิ้นปีนี้ ได้เห็น 35 %แน่ปีนี้ พร้อมกล้ายืนยันวันเทรดแรกผู้ถือหุ้นเดิมไม่ขายออกมา
นายตัน ภาสกรนที ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บมจ.) กล่าวว่า บริษัทพร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ปี2556 แน่นอน พร้อมกับคาดว่าจะสามารถสรุปราคาได้ในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ และดำเนินการจดทะเบียนและซื้อขายในหลักทรัพย์ฯวันแรกในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ซึ่งความคืบหน้าทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักหรัพย์(ก.ล.ต.)ได้นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว หลังจากที่บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนหรือไฟลิ่ง ต่อ ก.ล.ต.ไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
แม้จะมีปัจจัยการเมือง ซึ่งถือเป็นปัจจัยระยะสั้นก็ตาม ทางบริษัทยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ยังคงติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด ซึ่งเชื่อมั่นว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรง แต่หากมีเหตุการณ์รุนแรงบริษัทก็พร้อมจะเลื่อนออกไป เนื่องจาก บริษัทยังไม่ได้กระจายหุ้นออกไปจึงสามารถดำเนินการได้
สำหรับแผนการระดมทุน นั้น บริษัทได้ดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ที่ออกและเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ ไอพีโอ จำนวน 300 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.1 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการการเสนอขายหุ้นไอพีโอจะเพิ่มเป็น 1,300 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ประมาณ 4-5 พันล้านบาท โดยบริษัทมีแผนในการใช้เงินเพื่อลงทุนขยายกำลังการผลิตเฟส 2 มูลค่าเงินลงทุน 2.55 พันล้านบาท และชำระหนี้เงินกู้อีก 1 พันล้านบาท ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ซึ่งบริษัทคาดว่าหลังจากขยาย เฟส 2 แล้วเสร็จ แบ่งเป็นการติดตั้งเครื่องจักรจำนวน 4 เครื่อง ซึ่ง 2 เครื่องแรกจะแล้วเสร็จภายในปี 2557 กำลังการผลิตจะเพิ่มจาก 600 ล้านขวดต่อปี เป็น 1,000 ล้านขวดต่อปี มีโอกาสจะเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้กับบริษัทเต็มที่ 1 หมื่นล้านบาท และหากติดตั้งครบ 4 เครื่องก็จะเพิ่มกำลังการผลิตให้บริษัทมีศักยภาพเพิ่มรายได้เต็มที่ถึง 1.4 หมื่นล้านบาท ต่อปี แต่เบื้องต้นบริษัทประเมินรายได้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า(2557-2551)
สำหรับคาดการณ์รายได้ปี 2556 บริษัทได้ปรับประมาณเป็น 6 พันล้านบาท จากเดิม 4.5 พันล้านบาท หลังจากที่ ครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 3.79 พันล้านบาทแล้ว ทั้งสำหรับเป้าหมายรายได้ที่ 6 พันล้านบาท เติบโตประมาณ 33.8 % หากเทียบกับปี 2555 รายได้อยู่ที่ 4.48 พันล้านบาท ซึ่งสูงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่า 20 % ต่อปี นอกจากนี้จากผลสำรวจของ เอซี นีสเส็นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดหรือมาร์เก็ตแชร์ขึ้นเป็นอันดับ 1 แล้ว ที่ 44.2 % อันดับ 2 โออิชิ 37.3 % และอันดับ 3 เพียวริคุ 9.2 % เป็นต้น จากมูลค่าตลาดรวม 1.65 หมื่นล้านบาท
ส่วนด้านอัตรากำไรขึ้นต้น นั้นคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 35 % จากช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 31 % เนื่องจาก บริษัทสามารถรักษาต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง โดยการเพิ่มกำลังการผลิตเอง ที่รับจ้างผลิต สัดส่วน 25 % ซึ่งเป้าปีนี้บริษัทจะลดสัดส่วนรับจ้างผลิตให้ต่ำกว่า 10 % และเป้าระยะยาวให้ต่ำกว่า 5 % รวมถึงการมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง “เย็นเย็น” น้ำจับเลี้ยง ซึ่งเป้าหมายในอนาคตบริษัทจะมีแผนเพิ่มรสชาติใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่องทุกๆปีไม่ต่ำกว่า 2-3 รสชาติ
นอกจากนี้นายตันกล่าวต่อว่าสำหรับจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งรวมถึงส่วนของ พนักงานด้วย จะติดระยะห้ามขายทั้งหมด รวมถึงในส่วนของตนที่ถือก็จะไม่นำออกมาขายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างแน่นอน อนึ่งโครงสร้างผู้ถือหุ้น 1.นายตัน ภาสกรนที 180 ล้านหุ้น สัดส่วน 18 % 2.นางอิง ภาสกรนที 120 ล้านหุ้น สัดส่วน 12 % 3.นายจารุวร สุขพันธุ์ถาวร 98 ล้านหุ้น สัดส่วน 9.8 %4.นายจารุวัฒน์ สุขพันธุ์ 40 ล้านหุ้นสัดส่วน4 % 5.นางสาวสุภาณี สุขพันธุ์ถาวร 40 ล้านหุ้นสัดส่วน4 % 6. นางสาววริษา ภาสกรนที 30 ล้านหุ้น สัดส่วน 3 % เป็นต้น
ข่าวเด่น