บลจ.ทิสโก้ พิสูจน์ฝีมือบริหารกองทริกเกอร์เข้าเป้าต่อเนื่องปิดกองทริกเกอร์ 2 กองรวด หลังกองหุ้นสหรัฐฯ "ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%#2" และกองหุ้นจีน "ไชน่า อิควิตี้ ทริกเกอร์8%#9" ตบเท้าเข้าเป้าหมาย 8% หลังสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนฟื้นตัวต่อเนื่องตามคาดการณ์
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณผู้อำนวยการสายการตลาดธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, First Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า ด้วยความเชี่ยวชาญของ บลจ.ทิสโก้ ในการนำเสนอกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ที่เป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนในจังหวะเวลาที่เหมาะสมและสามารถบริหารกองทุนจนเข้าเป้าหมายที่วางไว้พร้อมปิดกองคืนเงินแก่ผู้ลงทุนได้ก่อนกำหนดในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ติดต่อกันรวมกันถึง 22 กองทุน ภายใน 2 ปี
ล่าสุดในสัปดาห์นี้ บลจ.ทิสโก้ สามารถบริหารกองทุนเข้าเป้าหมายและสามารถปิดกองทุนเพิ่มอีก 2 กองทุนแล้ว
ได้แก่"กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%# 2" และ "กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% # 9"
โดยจากที่ บลจ.ทิสโก้ ได้เสนอขาย "กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ทริกเกอร์ **8% # 2"* (TISCO US Equity Trigger 8% Fund # 2) กองทาร์เก็ตฟันด์ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ผ่านกองทุน SPDR Dow Jones Industrial Average ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Dow Jones Industrial Average
ซึ่งสามารถเลิกโครงการก่อนครบกำหนดหากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 8% หรือมีมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) มากกว่าหรือเท่ากับ 10.80 บาท ล่าสุด ณ วันที่ 15 พ.ย. 56 กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8% โดยNAV อยู่ที่ 10.8423 บาท ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการได้ก่อนกำหนด
โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 5 เดือนเท่านั้น
ขณะที่ "กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อิควิตี้ ทริกเกอร์8% # 9" กองทาร์เก็ตฟันด์ลงทุนในหุ้นจีน ผ่านกองทุน Hang Seng H-Share IndexETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprise (HSCEI) หรือ H-Shares ซึ่งสามารถเลิกโครงการได้หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 8% หรือมีมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) มากกว่าหรือเท่ากับ 10.80 บาท ซึ่ง ณ วันที่ 19 พ.ย. 56 กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8% โดยมี NAV อยู่ที่ 10.8167 บาท ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการเช่นกัน ซึ่งผลงานของทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวแสดงถึงความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการกองทุนได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ทำให้ 2 กองทุนดังกล่าวสามารถปิดกองทุนและจ่ายผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ชัดเจนขึ้นตามมุมมองที่ทิสโก้ได้คาดการณ์ไว้ โดยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวถึง 2.8%(QoQ) ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2555 อีกทั้งดัชนี้ชี้นำทางด้านการผลิต US Manufacturing PMI
(Purchasing Manager Index) ที่ล่าสุดในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาสูงถึง 56.4 ซึ่งนับเป็นการเร่งตัวขึ้นและส่งสัญญาณขยายตัวเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ประกอบกับล่าสุดตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาส่งสัญญาณการฟื้นตัวอีกครั้งหลังชะลอลงไปในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐมีการปิดตัวลงไปชั่วคราว
ขณะที่เศรษฐกิจจีนเองก็มีสัญญาณที่ดีขึ้นจากการที่จีนได้ประกาศนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยมีแผนที่จะสนับสนุนให้เอกชนลงทุนในกิจการที่รัฐดำเนินการได้ รวมถึงผ่อนคลายนโยบายคุมกำเนิดจากที่กำหนดให้ 1 ครอบครัวมีบุตร 1 คน เป็นผ่อนปรนให้มีบุตรคนที่ 2 ได้ หากบิดามารดาเป็นบุตรคนเดียวของครอบครัว เพื่อเพิ่มจำนวนแรงงานในประเทศจึงส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจจีนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"สำหรับทิสโก้ เรามองทั้ง 2 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ และจีน เรามองเป็น Top Pick ของการลงทุนมาโดยตลอดในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากสัญญาณทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และด้วยการจับจังหวะเข้าลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงทำให้ผลงานกองทริกเกอร์ฟันด์ของทิสโก้เข้าเป้าหมายและสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าได้อย่างน่าพอใจ และเราก็จะยังคงเดินหน้าตอบโจทย์การลงทุน เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่หลากหลายนโยบายลงทุนต่อไป" นายสาห์รัช กล่าว
ข่าวเด่น