แม้ว่าปัจจุบันร้านอาหารญี่ปุ่นจะมีมากมายหลากหลายในไทย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ หารับประทานได้สุดแสนจะง่าย จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้การแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นนับวันจะยิ่งมีความรุนแรง แต่สิ่งดังกล่าวก็ไม่ได้ส่งผลให้จำนวนผู้เล่นในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นปรับตัวลดลง เห็นได้จากยังคงมีผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น
นายเตชิต หร่มระฤก กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิยาบิ กริลล์ จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยจะมีเป็นจำนวนมาก แต่หากเปรียบเทียบกับร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่นแล้วยังถือว่าน้อยมาก เพราะร้านอาหารญี่ปุ่นที่นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยยังมีสัดส่วนไม่ถึง 5% ของร้านอาหารญี่ปุ่นทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมากกว่า 8.8 หมื่นสาขา จึงทำให้ยังมีช่องว่างในการเข้ามาทำตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด ซึ่งยังมีความสดใหม่และยังมีโอกาสอีกมาก
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวบริษัท มิยาบิ กริลล์ จึงขอประกาศแผนเชิงรุกบุกตลาดภูธรเป็นหลัก เนื่องจากตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ค่อนข้างแน่นและอิ่มตัว
ปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารปิ้งย่างมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดธุรกิจปิ้งย่างประเภท self cooking ที่ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดมีมูลค่าการเติบโตสูงขึ้นตามการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เห็นได้จากความเคลื่อนไหวทางการตลาดอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจอาหารปิ้งย่าง แบบ self cooking ที่ต่างมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆ
จากการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่นต้องออกมาพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการ รวมไปถึงการอัดกิจกรรมทางการตลาดและรายการส่งเสริมการขายที่น่าสนใจ เพื่อดึงผู้บริโภคให้เข้ามาใช้บริการ
นายเตชิต กล่าวต่อว่า ในช่วง 3 ไตรมาสที่มา (ม.ค. – ก.ย. ) ธุรกิจในเครือทั้ง 3 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น โจเซน มิยาบิและมิยาบิ ไคเต็น ต่างได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยในปัจจุบันมีการขยายสาขาของทั้ง 3 แบรนด์ เพิ่มขึ้นเป็น 17 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งแบ่งเป็น โจเซน 2 สาขา มิยาบิ 3 สาขาและมิยาบิ ไคเต็น 12 สาขา
จากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวส่งผลให้ยอดผลประกอบการในช่วง 3 ไตรมาสของบริษัท มิยาบิ กริลล์ มีอัตราการเติบโตขึ้นกว่า 250% หรือคิดเป็นมูลค่าอยุ่ที่ประมาณ 370 ล้านบาท
ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการสร้างแบรนด์ให้กับเข้าไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ซึ่งธุรกิจได้มีการศึกษา ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละเซ็กเม้นท์อย่างเข้าใจลึกซึ้ง เช่น กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มนักเรียน นักศึกษา กลุ่มคนวัยทำงาน และกลุ่มครอบครัวที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านในบรรยากาศสนุกสนาน ชอบการสังสรรค์เฮฮากับกลุ่มเพื่อนในบรรยากาศสบายๆ แบบเป็นกันเอง
จากจุดนี้จึงส่งผลให้แต่ละแบรนด์ของ ‘มิยาบิ กรุ๊ป’ สามารถตอบสนองในสิ่งที่โดนใจลูกค้าได้ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นการกำหนดราคา รูปแบบการให้บริการ และที่สำคัญคือการสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดเดียวกันทั้งในเรื่องของคุณภาพวัตถุดิบของอาหารที่เน้นความสดใหม่ และมีความหลากหลายของเมนู ทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู อาหารทะเล รวมทั้งอาหารทานเล่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นซูชิ หรือของทอดต่างๆ ให้ได้เลือกรับประทานจนเต็มอิ่ม อีกทั้งสไตล์การตกแต่งร้านแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่ช่วยสร้างบรรยากาศการกินอาหารปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้‘มิยาบิ กรุ๊ป’ ครองใจผู้บริโภคเป็นอันดับต้นๆ
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นายเตชิต กล่าวว่า จะเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้กับธุรกิจ ด้วยการใช้งบการตลาดกว่า 50 ล้านบาท ในการเปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่น 2 แบรนด์ยากินิคุระดับ พรีเมี่ยมใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกเซ็กเม้นท์ ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ
โดย 2 แบรนด์ใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในช่วงปลายปีนี้คือ ‘โจเซน ยากินิคุ แอนด์ บาร์’ แบรนด์นี้นับได้ว่าเป็นการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ‘โจเซน’ เดิมสู่ภาพลักษณ์ใหม่ในการเป็นแบรนด์ยากินิคุระดับพรีเมี่ยมในสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ที่มาพร้อมกับจุดเด่นในการเป็นร้านยากินิคุ และสาเกบาร์ ที่เน้นบรรยากาศแบบแฮงค์เอาท์หลังเลิกงาน ซึ่งจะแตกต่างจากร้านยากินิคุทั่วไป
นอกจากนี้ ในด้านของการบริการยังให้บริการอาหารทั้งในรูปแบบ A la carte โดยมีราคาต่อจานตั้งแต่ 50 บาทไปจนถึง 1300 บาท และบุฟเฟ่ต์เริ่มต้นที่ราคา 489 บาท เพื่อสร้างประสบการณ์การกินในวงการยากินิคุในไทยอย่างมีสีสันด้วยเทคโนโลยีการนำเสนอเมนูอาหารรูปแบบใหม่ โดยใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ครั้งแรกในวงการธุรกิจปิ้งย่างของไทย
โดยลูกค้าต้องใช้แอปพลิแคชั่นของทางร้านซึ่งรองรับทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และไอโอเอสในการเข้าถึงข้อมูลของสัญลักษณ์พิเศษในเล่มเมนูอาหาร โดยสัญลักษณ์นี้จะสร้างกราฟฟิก 2D หรือ 3D ให้ปรากฏซ้อนขึ้นมาในจอภาพบนโทรศัพท์ เพื่อรับทราบข้อมูลและรายละเอียดของเมนูอาหารต่างๆ ก่อนตัดสินใจเลือกสั่งอาหาร
ลูกค้าที่ดำเนินตามขั้นตอนดังกล่าวจะมีข้อมูลปรากฏขึ้น ประกอบด้วย กรรมวิธีการคัดสรรวัตถุดิบหลัก เช่น ปลา อาหารทะเล และเนื้อสัตว์ต่างๆ กรรมวิธีการปรุง รวมทั้งสัดส่วนคุณค่าโภชนาการและพลังงานที่ร่างกายจะได้รับ ซึ่งถือเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการสั่งอาหารที่ให้ทั้งความรู้และความสนุกเพลิดเพลินเติมเต็มบรรยากาศการกินดื่มและการสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูงให้มีอรรถรสมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันร้าน ‘โจเซน ยากินิคุ แอนด์ บาร์’ มีจำนวนสาขาเปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา คือ สาขาที่ The Walk สาขาเกษตร-นวมินทร์ และ อาคาร Mercury Ville ชิดลม ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการได้ผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการทานอาหารประเภทยากินิคุ จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้บริษัท มิยาบิ กริลล์ มีแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์น้องอีก 1 แบรนด์ คือ ‘วาบิซาบิ’ ยากินิคุในรูปแบบอิซากายะ ที่มีจุดเด่นที่อยู่ที่วัตถุดิบที่ได้คัดสรรของขึ้นชื่อของแต่ละภาคในญี่ปุ่นในแต่ละฤดูกาล มาปรุงเป็นเมนูสุดพิเศษซึ่งบางเมนูแม้แต่ชาวญี่ปุ่นยังหาทานได้ยาก ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนธ.ค. นี้ ที่ The Groove เซ็นทรัลเวิล์ด
นายเตชิต กล่าวว่า ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2557 บริษัทจะเน้นการทำตลาดเชิงรุกแบบ 360 องศา ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลากหลาย
รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาแบรนด์ของ ‘มิยาบิ กรุ๊ป’ ให้มีความเข้มแข็ง ด้วยการขยายสาขาร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มอีกกว่า 40 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แบ่งเป็น โจเซน ยากินิคุ แอนด์ บาร์ 7 สาขา มิยาบิ 13 สาขา และมิยาบิ ไคเต็น 18 สาขา เน้นทำเลภายในห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นแหล่งช้อปปิ้ง แหล่งกิน และแหล่งใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะจับมือร่วมกับพันธมิตรชาวญี่ปุ่น เปิดตัวแบรนด์ใหม่ในกลุ่มอาหารประเภทอื่นๆ อีกประมาณ 2 แบรนด์ จากปัจจุบันมีอยู่ 3 แบรนด์ คือ โจเซน ,มิยาบิ และมิยาบิ ไคเค็น รวม 38 สาขา แบ่งเป็นร้าน โจเซน มิยาบิ 3 สาขา ร้านมิยาบิ 16 สาขา ร้านมิยาบิ ไคเต็น 18 สาขา และร้านวาบิซาบิ 1 สาขา ซึ่งจำนวนสาขาที่เปิดให้บริการดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าสิ้นปีนี้จะมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการทั้งหมด 42 สาขา แต่เนื่องจากศูนย์การค้าบางแห่งเลื่อนเปิดให้บริการ และบางแห่งมีปัญหาการส่งมอบพื้นที่ จึงทำให้จำนวนสาขาที่เปิดให้บริการในปีนี้พลาดเป้าหมายที่วางไว้ 4 สาขา ซึ่งผลของการเลื่อนเปิดดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีรายได้หายไปประมาณ 100 ล้านบาท
หลังจากบริษัทออกมาเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์ใหม่ และเพิ่มสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง นายเตชิต มั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะมีรายได้กว่า 500 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 300% ขณะที่ภาพรวมรายได้สิ้นปี 2557 คาดว่าจะมีรายได้ 1,200-1,300 ล้านบาท เติบโต 250% และเติบโต 100% ในปี 2558 ซึ่งจากยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องบริษัทคาดว่าในอีก 3 ปีนับจากนี้จะมียอดขายอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท
นอกจาก ‘มิยาบิ กรุ๊ป’ จะออกมาเปิดเกมรุกอย่างหนักแล้ว ในส่วนของแบรนด์คู่แข่งแว่วๆ มาว่าจะมีแบรนด์น้องใหม่ถือกำเนิดในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นอีกไม่ต่ำกว่า 4-5 แบรนด์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ร้านปิ้งย่างแบรนด์ โจโจเอน ร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือร้านอาหารฟูจิ
จากการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าวส่งผลให้คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในปีนี้น่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 4,200 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 14-15% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับภาพรวมธุรกิจกลุ่มอื่นๆ
ขณะที่ ‘มิยาบิ กรุ๊ป’ ซึ่งถือเป็นน้องใหม่ในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น เนื่องจากเพิ่มเข้ามาทำตลาดได้ประมาณปีเศษๆ ยังออกมาเปิดเกมรุกขนาดนี้เชื่อว่าแบรนด์เก่าที่อยู่ในตลาดทั้งเบอร์ 1 และเบอร์ 2 คงออกมารุกทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ซึ่งเป็นตลาดสดและใหม่สำหรับทุกผู้ประกอบการ
กลยุทธ์ใครจะแน่คุณภาพสินค้าใครจะเจ๋งคงต้องวัดที่จำนวนลูกค้าและยอดขายที่เข้ากระเป๋า แต่ที่ชัวร์แบบไม่ต้องคิดมาก คือ การแข่งขันที่รุนแรงของผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นงานนี้ผู้บริโภคได้ประโยชน์แบบเต็มๆ เพราะนอกจากจะได้รับประทานอาหารในราคาที่ถูกลง เพราะแข่งขันกันด้วยราคาแล้ว ยังได้อาหารคุณภาพมาบริโภคอีกด้วย เพราะ 2 กลยุทธ์ถือเป็นแม่เหล็กสำคัญในการชิงตัวลูกค้า
ประกอบกับผู้ประกอบการห้างค้าปลีกหันมาขยายสาขาในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น จึงถือเป็นโอกาสดีที่ในการติดสอยห้อยตามห้างค้าปลีกที่บุกตลาดภูธร ซึ่งกลุ่มอาหารที่จะนำเป็นหัวหอกหลักในการบุกตลาด คือ ร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทปิ้งย่าง
ข่าวเด่น