เดอะมอลล์ กรุ๊ป เผยแผนใช้งบ 20,000 ล้านบาท ขยายอาณาจักรศูนย์การค้าหรูใจกลางถนนสุขุมวิทให้เป็น “ EPI CENTER ” หรือ ศูนย์กลางย่านการค้าที่สำคัญของคนกรุงเทพฯ ด้วยโครงการน้องใหม่ ดิเอ็มควอเทียร์และดิเอ็มสเฟียร์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ดิเอ็มโพเรียม
กว่า 30 ปีที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้สร้างอนาจักรค้าปลีก จากห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กภายใต้ชื่อเดอะมอลล์ ซึ่งเปิดให้บริการสาขาแรกที่ราชดำริ ตามด้วยรามคำแหง ท่าพระ งามวงศ์วาน บางแค บางกะปิ และโคราช(นครราชสีมา) วันนี้เดอะมอลล์ กรุ๊ป ไม่ได้มีเพียงศูนย์การค้าภายใต้แบรนด์เดอะมอลล์อย่างเดียว แต่ยังมีแบรนด์ดิเอ็มโพเรียม ซึ่งเปิดให้บริการในปี 2540 และแบรนด์สยามพารากอน เปิดให้บริการเมื่อปี 2548
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์เดอะมอลล์สกายพอร์ต โครงการบริหารกิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทสินค้า บริการ และประเภทอาหาร เครื่องดื่ม ภายในสนามบินดินเมือง ที่เปิดให้บริการไปแล้วเมื่อปลายปี 2555 และแบรนด์บลูพอร์ต ศูนย์การค้าหรูในกลางหัวหิน ซึ่งได้ลงขันกับกลุ่มบริษัท ประยูรวิศว์ ของตระกูลลิปตพัลลภ ด้วยงบลงทุน 4,000 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระกว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปลายปี 2557
ล่าสุด เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ออกมาเผยแผนใช้งบ 20,000 ล้านบาท ขยายอาณาจักรศูนย์การค้าหรูใจกลางถนนสุขุมวิทให้เป็น “ EPI CENTER ” หรือ ศูนย์กลางย่านการค้าที่สำคัญของคนกรุงเทพฯ ด้วยการคลอด 2 โครงการน้องใหม่ ดิเอ็มควอเทียร์และดิเอ็มสเฟียร์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ ดิเอ็มโพเรียม โดยทั้ง 3 ศูนย์การค้าจะเชื่อมต่อกันด้วยสกายวอล์ค ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างไปพร้อมกับศูนย์การค้าน้องใหม่ เพื่อให้การบริการมีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด
น.ส.ศุภลักษณ์ อัมพุช รองประธานกรรมการ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่เราประสบความสำเร็จในการสร้างศูนย์การค้าสยามพารากอนให้เป็น “ปรากฏการณ์ช้อปปิ้งและบันเทิงระดับโลก” (The World Class Retail & Entertainment Phenomenon) มาแล้ว วันนี้บริษัทมีแผนที่จะสร้างอีกหนึ่งปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กับการผนึกกำลังของ3 โครงการศูนย์การค้าระดับเวิร์ลคลาส ประกอบด้วย ดิเอ็มโพเรียม,ดิเอ็มควอเทียร์และดิเอ็มสเฟียร์ ให้เป็นศูนย์กลางศูนย์การค้าหรูใจกลางสุขุมวิท เนื่องจากทั้ง 3 ศูนย์การค้าจะอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดใจกลางย่านสุขุมวิทโอบล้อมสวนเบญจสิริ ด้วยเนื้อที่รวมกัน 3 โครงการกว่า 50 ไร่ หรือมีพื้นที่โครงการรวมประมาณ 650,000 ตารางเมตร
การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว เดอะมอลล์ กรุ๊ป มีแผนที่จะใช้งบลงทุนรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ก่อสร้างและปรับปรุงศูนย์การค้าดังกล่าวให้เป็นสุดยอดของศูนย์การค้า เพื่อยกระดับใจกลางสุขุมวิทให้เป็น The Epi Center of Sukhumvitซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ เพียบพร้อมไปด้วย ย่านการค้า ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวและบันเทิงที่ทันสมัย และที่สำคัญเป็นแหล่งพักอาศัยของทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวที่มีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตอย่างมีรสนิยม มีกำลังซื้อสูง อีกทั้งสุขุมวิทยังมีโครงข่ายทางเศรษฐกิจที่มีมาตราฐานสูงเทียบได้กับเมืองเอกอื่นๆของโลก
นอกจากนี้ ดิเอ็มโพเรียม ,ดิเอ็มควอเทียร์และดิเอ็มสเฟียร์ ยังมีจุดเด่นในด้านของสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น และสวยงาม เนื่องจากมีการออกแบบโครงการและตกแต่งภายในจากแรงบันดาลใจและศิลปะ เพื่อสร้างสุดยอดสุนทรียภาพในการช้อปปิ้ง ด้วยทีมงานนักออกแบบผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะสวยงามยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีล้ำยุค ทั้งยังคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการทั้งสามจะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติที่งดงาม ด้วยการสวนสวรรค์และน้ำตกสูง 40 เมตร ภายในศูนย์การค้า ดิเอ็มควิเทียร์
ในส่วนของ ดิเอ็มโพเรียม เพื่อต้อนรับน้องใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เดอะมอลล์ กรุ๊ป จึงมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 4,000 ล้านบาท จากงบที่เตรียมไว้ 20,000 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมศูนย์การค้าใหม่ทั้งหมดโครงการรวม 200,000 ตร.ม. เพื่อให้มีความหรูหราสวยงาม และทันสมัยสอดรับกับน้องใหม่ ดิเอ็มควอเทียร์ และ ดิเอ็มสเฟียร์ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวก และบรรยากาศอบอุ่นน่าช้อปอันเป็นเสน่ห์ของ ดิเอ็มโพเรี่ยม
ขณะที่ดิเอ็มควอเทียร์ จะเป็นมิติใหม่ของรูปแบบชีวิตที่ไม่ธรรมดา หรือ The Extraordinary Life ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการรวม 250,000 ตร.ม. ประกอบไปด้วยอาคารศูนย์การค้า สำนักงาน สถานที่สำหรับจัดกิจกรรมและสันทนาการต่างๆ พร้อมสวนสวรรค์อันรื่นรมย์โดยขณะนี้การก่อสร้างโครงการดังกล่าวมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 60-70% คาดว่าปลายปี 2557 ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียมโอมใหม่ และศูนย์การค้าดิเอ็มควิเทียร์น้องใหม่จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการ
สำหรับดิเอ็มสเฟียร์เดอะมอลล์ กรุ๊ปวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นความเร้าใจใหม่ของกรุงเทพฯ หรือ The Vibe of Bangkok has never experienced before เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เหนือความคาดหมาย ในรูปแบบของศูนย์การค้าที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่จะมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับย่านสุขุมวิท โดยเมื่อเปิดให้บริการในปี 2559 จะมีพื้นที่โครงการราว 200,000ตร.ม.
นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ประธานกรรมการ บริษัท ดิเอ็มโพเรียม กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป มีทีมงานที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ มีพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งการสร้างศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม, ดิเอ็มควอเทียร์และดิเอ็มสเฟียร์ในครั้งนี้ บริษัทต้องการให้ทั้ง 3 ศูนย์การค้ามีความครบถ้วนบริบูรณ์เพียบพร้อมไปด้วยแฟชั่น ลักชัวร์รี่ เทคโนโลยี เฮลท์แอนด์บิวตี้ลิฟวิ่ง ไลฟ์สไตล์จากแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลกและชั้นนำของไทยกว่า 1,000 แบรนด์รวมไปถึงศูนย์รวมไดนิ่งและแฮงเอ้าท์สำหรับลูกค้าชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ร้านค้ากว่า 1,000 แบรนด์ที่จะนำมาเปิดให้บริการภายใน 3 ศูนย์การค้า จะแน้นไปที่ร้านแฟลกชิปสโตร์มีขนาดตั้งแต่ 300ตร.ม.ไปจนถึง 3,000ตร.ม. หลายร้านเป็นร้านค้าที่มาเปิดในดิเอ็มควอเทียร์และดิเอ็มสเฟียร์ จะเป็นการเข้ามาเปิดเป็นแห่งแรกในเอเชีย ขณะที่อีกหลายร้านเปิดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวต่อว่า กระบวนการคัดเลือกแบรนด์นั้นมีหลักสำคัญในการคัดเลือกอยู่ 3 ประการๆ แรก ร้านค้าที่คัดเลือกมานั้น แต่ละแบรนด์ล้วนเป็นแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลกและชั้นนำของไทยที่มีชื่อเสียงและคุณภาพเป็นที่ยอมรับประการต่อมาคือเรื่องของความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และการตลาดของแบรนด์โดยแบรนด์ที่บริษัทคัดมาล้วนมีความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจ การเงินที่มั่นคง และประการสุดท้ายคือ เรื่องของความเป็นมืออาชีพในการบริหารกิจการ นอกจากนี้การยังเป็นการรวมกำลัง และพลังของแบรนด์เนมเพื่อนำมาซึ่งความสำเร็จในการทำธุรกิจศูนย์การค้าระดับไฮเอนด์
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เดอะมอลล์ กรุ๊ปตัดสินใจขยายศูนย์การค้าขนาดใหญ่และหรูหราคือ การที่ปี 2558 ประเทศไทยเข้าร่วมกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ เออีซี ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งและท่องเที่ยวที่สำคัญในเอเซีย โดยความสำเร็จในการสร้างย่านเศรษฐกิจใจกลางย่านสุขุมวิทแห่งนี้ จะมีส่วนในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางในการช้อปปิ้งและท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจากการเปิดเออีซีในปี 2558 จะส่งผลให้ กลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ จะมีประชากรรวมกันถึง 600 ล้านคน
นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 25 ล้านคน และเพิ่มเป็น 40-50 ล้านคนในปีอีก 5 ปีข้างหน้า การตั้งรับด้วยศูนย์การค้าที่ดีมีคุณภาพ จึงถือเป็นกลยุทธสำคัญของการดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป โดยในอีก 5-7 ปีข้างหน้าเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีแผนที่จะเปิดตัวศูนย์การค้าขนาดใหญ่อีกไม่ต่ำกว่า 5 แห่งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เนื่องจากประเทศไทยยังมีช่องว่างให้ขยายธุรกิจศูนย์การค้าขนาดใหญ่อีกมาก บริษัทจึงจะเน้นสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจศูนย์การค้าภายในประเทศก่อนที่จะไปขยายธุรกิจในต่างประเทศ
ในส่วนของแผนการดำเนินงานในปีหน้า เดอะมอลล์ กรุ๊ป มีแผนที่จะเปิดตัวศูนย์การค้าขนาดใหญ่อย่างน้อย 1 แห่ง เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นศูนย์การค้าในย่านบางนา ขณะเดียวกันยังได้เตรียมงบอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับการปรับปรุงศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ซึ่งทั้ง 2โปรเจคขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผน จึงทำให้ยังไม่สามารถเปิดเผยงบการลงทุนได้
หลังจากออกมาประกาศแผนการดำเนินธุรกิจดังกล่าว เดอะมอลล์ กรุ๊ป คาดว่าในอีก 5-7 ปีน่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะรายได้อยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท เติบโตที่ประมาณ 6-7% ซึ่งในส่วนของศูนย์การค้าที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด คือ สยามพารากอน มีอัตราการเติบโตกว่า 10% เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
ความสำเร็จที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้รับดังกล่าว ถือเป็นการเดินทางมาถึงกลางทางตามแผนที่วางไว้ว่าจะคุมเส้นเลือดใหญ่ของกรุงเทพฯ นั่นก็คือ เส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งปัจจุบันสามารถยึดดาวน์ทาวน์ได้เป็นผลสำเร็จนั่นก็คิอ ย่านสยาม และในปี 2559 จะทำการยึดมิดทาวน์ หรือ ย่านสุขุมวิท ได้เป็นผลสำเร็จขณะที่ย่านอัพทาวน์ หรือ ย่านบางนา คาดว่าในปี 2557 น่าจะพอเห็นเป็นโครงร่าง
ข่าวเด่น