หลังจากขับเคี่ยวชิงยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดกันมาตลอดทั้งปี เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปีแต่ละค่ายก็เริ่มออกมาประกาศความสำเร็จ พร้อมกับเดินหน้าเปิดตัวกลยุทธ์การตอกย้ำแบรนด์สินค้าให้เข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค ก่อนที่จะเปิดศึกการแข่งขันอย่างดุเดือดอีกครั้งในปี 2557
ในส่วนของ "ค่ายเป๊ปซี่" หลังจากประกาศแผนเชิงรุกโดยปราศจากการทำตลาดกลุ่มบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบขวดแก้ว ด้วยการหันมารุกทำตลาดขวดในรูปแบบ PET ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นการทำตลาดที่เข้ากับกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
นายจรณชัย ศัลยพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า จากนโยบายระดับโกลบอลของเป๊ปซี่โค ที่มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการมุ่งเน้นการทำตลาดไปที่บรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด หรือ ขวด PET เหมือนกันทั่วโลก ภายหลังกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำอัดลมแบบไม่ต้องคืนขวดมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในส่วนของเครื่องดื่มเป๊ปซี่ ภายหลังจากที่ปรับกลยุทธ์หันมามาทำตลาดบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวดอย่างจริงจังในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายผ่านบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบขวด PET มีสัดส่วนมากกว่า 60% เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2552 ที่มีสัดส่วนยอดขายบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบขวด PET มีเพียง 44% เท่านั้น
การดำเนินธุรกิจในรูปแบบดังกล่าวค่ายเป๊ปซี่ ได้รับความร่วมมือจากบริษัทคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล วงษ์พาณิชย์ จํากัด ผู้นำอันดับหนึ่งในด้านการคัดแยกและบริหารจัดการขยะรีไซเคิลในไทย ในการร่วมกันส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการนำขวด PET ที่ใช้แล้วเข้าสู่วงจรการรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งสื่อสารในวงกว้างให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค ผู้ประกอบการร้านค้า รวมถึงกลุ่มพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อขยะรีไซเคิล
นอกจากนี้ ยังได้นำกลยุทธ์ด้านกลไกราคามาใช้ เพื่อสร้างแรงจูงใจ โดยร้านรับซื้อขยะรีไซเคิลของวงษ์พาณิชย์ทุกสาขาทั่วประเทศจะรับซื้อขวดเปล่าที่ใช้แล้วของผลิตภัณฑ์ในเครือเป๊ปซี่โค ทั้งเป๊ปซี่, เมาเท่นดิว, มิรินด้า, เซเว่นอัพ และน้ำดื่มอควาเวส ซึ่งจะให้ราคารับซื้อสูงกว่าราคากลางของขวด PET ทั่วไปอีกกิโลกรัมละ 1 บาท การเลือกใช้กลยุทธ์ดังกล่าวนอกจากจะเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้วยังถือเป็นการวสร้างแบรนด์สินค้าให้เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคอีกด้วย
ด้าน "ค่ายโค้ก" ออกมาย้ำแบรนด์ นำ "ถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ" เข้ามาให้คนไทยได้ยลโฉม ภายหลังนั่งเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2557 ที่ประเทศบราซิล หลังจากก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์สินค้าอย่างล้นหลามกับการทำแคมเปญ "ต้องกล้า ต้องซ่า ส่งโค้กให้” ด้วยการพิมพ์ชื่อบนกระป๋องโค้ก
นายนันทิวัต ธรรมหทัย ผู้จัดการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ ยังคงเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยใช้ชีวิตแบบ ‘Active Healthy Living’ หรือการให้ความ สำคัญกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงสดใส ได้ความสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ค่ายโค้กจึงให้การสนับสนุนกิจกรรมด้านกีฬาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล เนื่องจากฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้คนทั่วโลก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยค่ายโค้ก ก็ให้การสนับสนุนกีฬาฟุตบอลหลายรูปแบบเช่นกัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้วงการฟุตบอลไทยพัฒนาไปสู่สนามระดับโลกในอนาคต และจากการที่บริษัทแม่ได้เข้าเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลโลกอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้จนถึงปีหน้า ค่ายโค้กจะเดินหน้าจัดกิจกรรม “ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่ ทัวร์” ไป 88 ประเทศทั่วโลก เพื่อโชว์โฉมถ้วย “ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ”
นายคอสตาส เดลิอาลิส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การนำถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ” ไปเปิดแสดงให้แฟนบอลทั่วโลกได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด ถือเป็นเอกสิทธิ์ของโคคา-โคลา ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักเพียงรายเดียวที่ได้รับสิทธิ์จากฟีฟ่า โดยในครั้งนี้ ‘ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ โทรฟี่ ทัวร์ โดยโคคา-โคลา’ มีกำหนดการเดินทางไปยัง 88 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย และจะไปสิ้นสุดที่ประเทศบราซิลในเดือนเม.ย. 2557 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 221 วัน รวมระยะทางทั้งสิ้น 149,576.78 กิโลเมตร
สำหรับในส่วนของประเทศไทยจะได้ยลโฉมถ้วย “ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ” ในวันที่ 29 - 30 ธ.ค.นี้ ที่ชั้น 5 รอยัลพารากอน ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. ซึ่งช่วงที่นำถ้วย “ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ” มาให้คนไทยได้สัมผัสความสวยงาม ค่ายโค้กจะมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยสร้างสีสันให้กับกิจกรรมดังกล่าว
ในส่วนของค่ายน้องใหม่อย่าง "เอส" หลังจากออกมาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับตลาดเครื่องดื่มอัดลมในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ด้วยการสร้างยอดขายในปีแรกได้มากถึง 8,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 15% ขณะที่การรับรู้ในแบรนด์สินค้าประสบความสำเร็จมากถึง 98% ส่งผลให้ค่ายเอส ออกมาฉลองความสำเร็จ พร้อมกับตอกย้ำการสร้างแบรนด์ผ่านแคมเปญ “เอสแล้ว เอสเลย” เป็นการส่งท้ายปลายปี 2556
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวเครื่องดื่มอัดลมเอส เข้าทำตลาดเมื่อปลายปี 2555 บริษัทมีความภูมิใจกับการทำตลาดสินค้าดังกล่าวเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาดน้ำอัดลมเทียบชั้นกับแบรนด์ระดับโลกได้สำเร็จในเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นดังกล่าว นายฐิติวุฒิ์ กล่าวว่า เกิดจากได้รับการยอมรับที่ดีจากลูกค้า ร้านค้า และพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเซ็นทรัล ซาฟารีเวิลด์ แบล็คแคนยอน ดังกิ้นโดนัท เอ็มเค และฮอทพอท รวมทั้งร้านค้าทั่วประเทศ ตลอดจนผู้บริโภคคนไทยที่ให้การสนับสนุนเอสอย่างดีเยี่ยมตลอดปีที่ผ่านมา
แม้ว่าขณะนี้ค่ายเอส จะประสบความสำเร้จกับการดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มอัดลมจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว แต่ธุรกิจยังคงต้องเดินหน้าต่อ ล่าสุดได้เปิดตัวแคมเปญ “เอสแล้ว เอสเลย” เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นด้วยการนำเสนอ “ประสบการณ์สุดขั้ว” โดยการสร้างสรรค์ Let’s est “เอสแล้ว เอสเลย” พัฒนาจากอินไซต์ของวัยรุ่นยุคนี้ที่ใช้ชีวิตให้สุดขั้วทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ดนตรี กีฬา กิจกรรมความท้าทายและความบันเทิง เพื่อจุดประกายให้คนเจนเอสเกล้าแสดงออกถึงความสุดขั้ว
นอกจากนี้ ค่ายเอสยังได้ออกมาเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ขนาดใหม่ 850 มล. เพื่อตอบโจทย์การดื่มหลายคนในทุกโอกาสและทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าร้านอาหาร หรือที่บ้าน เพื่อสร้างยอดขายให้เติบโตรวดเร็วมากขึ้นในปีหน้า ซึ่งค่ายเอสตั้งความหวังว่าจะเพิ่มยอดขายอย่างทะลุทะลวงเช่นเดียวกับปีนี้
ส่วนแผนการทำการตลาดของเหล่าบรรดาเครื่องดื่มอัดลมจะออกมาในรูปแบบไหนคงต้องลุ้น เพราะช่วงนี้ยังอยู่ระหว่างบ่มฟักแคมเปญส่งเสริมการขายที่แต่ละค่ายคงจะทยอยประกาศออกมาก่อนเข้าสู่ช่วงหน้าขาย ซึ่งจะเป็นช่วงรอยต่อระหว่างปลายไตรมาส 1 และไตรมาส 2 เนื่องจากเป็นช่วงหน้าร้อน โดยทุกปีที่ผ่านมาแต่ละค่ายก็ออกมางัดไม้เด็ดชิงยอดขายกันอย่างดุเดือด และปีนี้ก็เช่นกัน
จากการออกมาทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องจากผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องดื่มอัดลมในปีนี้ เชื่อว่าคงจะผลักดันให้ภาพรวมตลาดมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่า 38,500 ล้านบาทพอสมควร แต่จะเติบโตมีมูลค่าอยู่ที่เท่าไหร่นั้น ขณะนี้ยังไม่มีใครออกมาเปิดเผยตัวเลขว่าจะเข้าเป้า 43,000 ล้านบาท ตามที่คาดการณ์กันไว้ต้นปีหรือไม่ คงต้องรอดูการเปิดเผยตัวเลขกันในต้นปี 2557 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวคงจะทำให้เห็นภาพส่วนแบ่งการตลาดที่แต่ละค่ายครอบครองไว้ด้วย
ใครจะพลาดท่าเสียแชร์ก้าวเข้าสู่ปี 2557 นี้ได้รู้กัน.
ข่าวเด่น