กสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยปีม้าไม่สดใสนัก มีส่งออกเป็นพระเอกดันจีดีพีโต 3.6-3.7% วางเป้าสินเชื่อโต 9% พร้อมปรับกลยุทธ์หันรุกผลิตภัณฑ์ประกัน เล็งตีตลาดเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพที่ยังขาดบริการทางด้านนี้อย่าง ลาว กัมพูชาและพม่า เน้นขยายธุรกิจต่างจังหวัดเพิ่ม ทั้งช่องทางเอทีเอ็มและสาขา และมุ่งผลักดันดิจิตอล แบงกิ้ง รองรับคนรุ่นใหม่
นายธีรนันท์ ศรีหงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยมุมมองเศรษฐกิจไทยปี 2557 และแผนธุรกิจของกสิกรไทยปีนี้ว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2557 นี้ยังไม่ค่อยสดใสนัก โดยมีปัจจัยหนุนเพียงอย่างเดียว คือเศรษฐกิจ ใหญ่ของโลกน่าจะฟื้นตัว ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ที่น่าจะมีแรงผลักดันจากการลงทุนต่าง ๆ เตรียมตัวประเทศให้พร้อมเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค ส่วนยุโรป ได้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้นจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ธุรกิจส่งออกทั่วไปน่าจะมีโอกาสที่ดี เป็นแรงผลักดันด้านเศรษฐกิจได้
“นับว่า ด้านส่งออก เป็นสิ่งเดียวของไทยที่มีมุมมองเป็นบวก แต่อย่างอื่นเป็นลบหมด โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน จากเหตุดังกล่าวทำให้เชื่อว่า จากการมองในแง่ดีสุด เศรษฐกิจปี 2557 นี้จะเติบโตค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ที่ระดับ 3.6-3.7% แต่หากการเมืองลากยาว ซึ่งหมายถึงยังไม่สามารถมีรัฐบาลที่สามารถทำหน้าที่ได้เลยไตรมาสที่ 2 ไปถึง ไตรมาสที่ 3 เป็นไปได้ว่า จีดีพีจะเหลือเพียงประมาณ 2% สำหรับการเติบโตของสินเชื่อ กสิกรไทยวางไว้ที่ 9% จากฐานการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตที่ระดับ 3.6-3.7% ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตของจีดีพี”
ด้านนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทยกล่าวเสริมว่า เดิมกสิกรไทยทำแผนธุรกิจจากฐานการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจจะเติบโตมีจีดีพีอยู่ที่ 4.5% ซึ่งโตกว่าปีที่แล้วที่อยู่ระดับ 2.7-2.8% แต่ยังไม่ทันได้ใช้แผนใหม่ในเดือนมกราคมได้มีการคาดการณ์ใหม่ จีดีพีอยู่ที่ระดับ 3.7% เสียก่อน ดังนั้นถ้าการเมืองลากยาวไป จีดีพีอาจจะอยู่ที่ 2.5% จากเงื่อนไขว่า ภาคส่งออกดี มีการเติบโตที่ระดับ 5-7% แต่ถ้าส่งออกไม่ดีจีดีพีอาจจะลงไปเหลือ 0.5% ดังที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยทำนายไว้ จึงไม่อยากให้ทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน
นายธีรนันท์ กล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจที่น่าจะไปได้ดีมีอนาคตสดใสพอสมควร ได้แก่ ด้านส่งออก ซึ่งธนาคารจะไปเน้นทางด้านนี้ ส่วนอีกด้านที่ยังมีโอกาสหากเหตุการณ์ทางการเมืองไม่นำไปสู่ความรุนแรง ได้แก่ ภาคบริการหรือภาคท่องเที่ยว ที่ยังมีโอกาสอยู่พอสมควร เพราะแม้ว่า นักท่องเที่ยวอาจกังวลอยู่บ้าง แต่มองว่า ปัญหามีอยู่เฉพาะในกรุงเทพ ทว่าในพื้นที่รอบ ๆอัตราการจองห้องพักยังไม่ถึงกับแย่ โดยอยู่ที่ระดับ 70-90% ภาคบริการจึงเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไว้ได้ แต่หากเกิดความรุนแรงย่อมได้รับผลกระทบตามมา
นายธีรนันท์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างนี้ กสิกรไทยจะมีกลยุทธ์อย่างไรนั้น ยังคงเน้นเรื่องธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ที่จะสร้างรายได้ โดยพบว่า ผลิตภัณฑ์หลายอย่างมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ประกัน ซึ่งมีโอกาสรุกเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านด้วยเพราะเขายังไม่มีบริการทางด้านนี้และยังมีการเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างดี อาทิ ลาว กัมพูชาและพม่า ซึ่งประชาชนมีฐานะ โดยเฉพาะในแถบขอบชายแดน จัดเป็นตลาดที่ไม่คาดฝันมาก่อน โดยในปีที่แล้วทำให้กสิกรไทยมีเป้าหมายรายได้จากค่าธรรมเนียมสูงประสบความสำเร็จ ประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นอีกเป้าหมายที่ทางธนาคารยังให้ความสำคัญ
“นอกจากนี้ธุรกิจในต่างจังหวัดยังไปได้ค่อนข้างดี จึงมีแผนจะขยายช่องทางเพิ่มด้านเอทีเอ็ม สาขาและเพิ่มจำนวนพนักงานลงไปเพราะมีอัตราการเติบโตค่อนข้างดี ขณะเดียวกันยังเน้นด้านดิจิตอล แบงกิ้ง ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากมีคนรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาอยู่ในวัยทำงานเพิ่มขึ้น เด็กที่เติบโตมากับเทคโนโลยีขณะนี้ย่างเข้าสู่วัยรุ่น อยู่ในวัยทำงาน มีการจับจ่ายใช้สอยและใช้เทคโนโลยี ดิจิตอล แบงกิ้งจึงถือเป็นธีมสำคัญ ซึ่งกสิกรไทยเป็นอันดับหนึ่งทางด้านนี้และยังมีวิสัยทัศน์หลายอย่าง ที่จะมาผลักดันทางด้านนี้ในอนาคตและยังถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้า เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมจากพื้นที่ที่เดินทางไม่สะดวกได้”
ด้านนายปรีดี กล่าวเสริมตอนท้ายว่า ในด้านการจัดการคุณภาพของสินทรัพย์ กสิกรไทยมีการจัดการค่อนข้างดีท่ามกลางสถานการณ์ไม่ปรกติในปัจจุบัน รักษาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) โดยรวม ไม่ให้เกิน 2.2% เพื่อควบคุมความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนค่าธรรมเนียมจะพยายามรักษาระดับไว้ที่ 10% พร้อมยอมรับว่า ปีนี้อาจจะต้องใช้ความพยายามมากหน่อย เพราะเริ่มต้นปีมาก็มองเห็นปัญหาอยู่ข้างหน้าอยู่มาก จึงต้องบริหารจัดการว่า จะทำอย่างไรไม่ให้ปัญหาที่เกิดขึ้นกระทบต่อกิจการและลูกค้า
ข่าวเด่น