"กสิกรไทย"ชี้การเมืองส่งผลต่อยอดการจับจ่ายผ่านบัตรเครดิต ธุรกิจเกี่ยวเนื่องท่องเที่ยวชะลอตัว โรงแรมแป๊ก ทองคำติดลบ 7% ขณะที่เฟอร์นิเจอร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ประกันโตเพิ่มสวนกระแส ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรปีนี้เพิ่ม 30%
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีตั้งแต่ปลายปีที่แล้วต่อเนื่องถึงขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อการใช้จ่ายของประชาชนผ่านบัตรเครดิตทั้งในแง่ของการซื้อสินค้าและการถอนเงินสดล่วงหน้า ซึ่งจากข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในช่วง 3 สัปดาห์แรกของปี 2557 (1-22 มกราคม 2557) พบว่า ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทยมีอัตราการเติบโต 19% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 ที่โตถึง 30% ในขณะที่ตลาดรวมโตเพียง 13% ถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรของธนาคารกสิกรไทยอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2556 อยู่ที่ 11,800 ล้านบาท ส่วนยอดการถอนเงินสดล่วงหน้าปี 2557 อยู่ที่ 1,590 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปี 2556 ที่มียอดการถอนเงิน 1,380 ล้านบาท เป็นสัญญาณว่าในปีนี้ลูกค้ามีความต้องการกดใช้เงินสดมากขึ้น สืบเนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนและการชะลอการใช้จ่ายในปีที่ผ่านมา
สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตชะลอตัวหรือลดลง จะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและเครื่องประดับ โดยธุรกิจท่องเที่ยวมียอดการใช้จ่ายเติบโตชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จากที่เคยขยายตัวถึง 52% ในปี 2556 ลดลงเหลือ 9% ในปี 2557 โรงแรมที่เคยขยายตัวถึง 21% ในปี 56 ในปีนี้ขยายตัว 0% ภัตตาคารและร้านอาหารการขยายตัวลดจาก 26% เหลือ 19% ในปีนี้ และปั๊มน้ำมันการขยายตัวลดจาก 23% เหลือ 14% ในขณะที่ทองคำในปี 2556 ที่เคยขยายตัวสูงถึง 33% แต่ในปี 2557 มียอดการใช้ติดลบถึง 7%
อย่างไรก็ตาม มีธุรกิจบางประเภทที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อาทิ เฟอร์นิเจอร์เติบโตเพิ่มจาก 17% ในปี 2556 เป็น 30% ในปี 2557 ซูปเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มจาก 3% เป็น 8% และประกันชีวิตซึ่งมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากที่เคยขยายตัว 26% ในปี 2556 มาเป็น 33% ในปี 2557 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่คนไทยหันมาสนใจทำประกันชีวิตมากขึ้น
นายชาติชาย กล่าวในตอนท้ายว่า ในปี 2557 ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เป็น 310,000 ล้านบาท
ข่าวเด่น