ไทยออยล์คาดการณ์ภาวะน้ำมันโลกปี 2557 น้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปคเพิ่มทำซัพพลายเกินความต้องการ กดราคาน้ำมันโลกลงอยู่ที่เฉลี่ย 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เชื่อจะไม่ได้เห็นน้ำมันราคาแพงเหมือนในอดีต ไทยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชะลอตัวลง ผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว แต่คาดเกิดขึ้นระยะสั้น เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นกลับได้เหมือนอดีต เหตุพื้นฐานแกร่ง ผู้ประกอบการมีศักยภาพ เล็งขยายธุรกิจในเพื่อนบ้าน อย่างเมียนมาร์และอินโดนีเซีย
นายวีรศักดิ์ โฆษิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภาพรวมสถานการณ์น้ำมันโลกในปี 2557 ว่า กำลังการผลิตน้ำมันทั่วโลกคาดว่า จะเพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มโอเปค(OPEC) โดยเชื่อว่า การผลิตในประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะสหรัฐจะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบเกินความต้องการใช้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงไปมากอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมองว่า เราอาจจะไม่ได้เห็นราคาน้ำมันดิบที่แพงมาก ๆ เหมือนในอดีตอีก
ขณะเดียวกันนายวีรศักดิ์ยังกล่าวว่า สำหรับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ โดยเฉพาะในภาคการขนส่ง ในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีการชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลง แต่มองว่า การชะลอตัวลงในการใช้พลังงานจะเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากเชื่อว่า อีกไม่นานเศรษฐกิจไทยจะสามารถปรับตัวฟื้นขึ้นได้เหมือนในอดีต ส่วนการใช้น้ำมันที่ลดลงไม่ได้มีนัยะสำคัญ เพียงแต่การเติบโตในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจะมีอัตราที่ลดลงไป
นายวีรศักดิ์ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาวโดยมองจากศักยภาพของอาเซียน เนื่องจากไทยเองมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเชื่อมั่นในความสามารถและศักยภาพของผู้ประกอบ ไทย ขณะเดียวกันไทยยังมีข้อได้เปรียบตรงสถานที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีประชากรอยู่มากถึง 600 ล้านคน เชื่อไทยยังมีศักยภาพโตไปพร้อม ๆ กับการช่วยเหลือเพื่อนบ้านในภูมิภาคให้มีความมั่นคงทางด้านพลังงาน ซึ่งความมั่นคงด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตและความมั่นคงของประเทศนั้น ๆ และเชื่อว่า ไทยออยล์มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยตรงนี้ได้
ปัจจุบันไทยออยล์มีกำลังการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 270,000 บาร์เรลต่อวัน ขายในประเทศประมาณ 85% ส่งออกประมาณ 15% โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปในประเทศเพื่อนบ้านและข้างเคียง เช่น ลาวและกัมพูชา เป็นต้นที่สามารถขนส่งทางรถยนต์ได้
นายวีรศักดิ์กล่าวต่อว่า ส่วนแผนการลงทุนของไทยออยล์นั้นจะทำเป็นระยะยาว เนื่องจากต้องพิจารณาถึงเศรษฐกิจและผลตอบแทนเป็นระยะยาวเป็นหลัก สำหรับแผนการลงทุนในระยะสั้น ระยะ 3 ปีข้างหน้าจะใช้งบประมาณ 300-500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกันได้เริ่มมีการศึกษาที่จะเริ่มลงทุนในต่างประเทศด้วย แต่การลงทุนจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งในแง่ของผู้ร่วมทุนและตัวโครงการต่าง ๆ ว่าน่าลงทุนหรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า เป็นโครงการที่ดี
ในส่วนของแผนการลงทุนด้านการผลิตนั้นจะเน้นยกระดับหรือปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตมากกว่า เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยคาดว่า น้ำมันส่วนหนักเดิมที่มีอยู่ประมาณ 9% จะสามารถอัพเกรดให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ส่วนเบาเพิ่มได้ 2% ซึ่งจะทำให้ส่วนหนักลดลงไปเหลือ 7% โดยในการอัพเกรด 2% นั้นส่วนใหญ่เป็นดีเซล ซึ่งเทียบเป็นตัวเลขจะได้ผลผลิตดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านลิตรต่อวัน
สำหรับโครงการขยายธุรกิจไปยังประเทศอาเซียนนมี 2 โครงการ โดย นายวีรศักดิ์กล่าวว่า ไทยออยล์ได้รับโอกาสให้ยื่นข้อเสนอปรับปรุงโรงกลั่น Thanlyin ของเมียนมาร์ ในลักษณะของการร่วมทุน คาดว่าภายในปีนี้จะได้ข้อสรุปซึ่งคาดหวังว่าจะเป็นข่าวดี ทั้งนี้สิ่งที่ไทยออยล์เชื่อมั่นว่า ไทยออยล์มีข้อได้เปรียบเหนือบริษัทอื่นได้แก่ ความเชี่ยวชาญในด้านโรงกลั่น ความเข้มแข็งในด้านการทำธุรกิจและฐานะทางการเงิน ขณะเดียวกันไทยและเมียนมาร์ยังเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันและมีความคล้ายคลึงกันในด้านการนับถือศาสนา ประเพณีและวัฒนธรรม ความใกล้กันมีผลดีในการที่จะได้รับการสนับสนุนที่สะดวกรวดเร็วจากไทย
“เชื่อมั่นว่า ในระยะยาวไทยออยล์จะมีโอกาสที่จะช่วยให้เกิดความมั่นคงในด้านพลังงานของเมียนมาร์ที่กำลังเปิดประเทศ และเศรษฐกิจกำลังมีการขยายตัว ซึ่งพลังงานเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของประเทศเมียนมาร์”
ส่วนอีกโครงการเป็นโครงการลงทุนเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ Wax ในประเทศอินโดนีเซีย โดยโรงกลั่น Pertamina ของอินโดนีเซียต้องการอัพเกรดผลผลิตที่ได้จากการกลั่นน้ำมันมาเปลี่ยนแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ Wax ซึ่งในปี 2556 ไทยออยด์ได้ศึกษาเบื้องต้นและได้ร่วมลงนาม HOA (Heads of Agreement) กับ Pertamina เพื่อทำการศึกษาในรายละเอียดเชิงลึกแล้ว คาดว่าจะมีการตัดสินใจด้านการลงทุนภายในปลายปีนี้ และหากตัดสินใจลงทุนจะมีการสร้างโรงงานผลิตภายในโรงกลั่นและเริ่มทำการผลิตได้ภายใน 2 ปี
ข่าวเด่น