โครงการประชานิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เริ่มส่งสัญญาณความล้มเหลวออกมาอย่างชัดเจนจากโครงการรถยนต์คันแรก เมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. สรุปจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกจำนวนทั้งสิ้น 1.13 ล้านคัน และมีการทิ้งใบจองกว่า 100,000 คัน
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิต กำลังพิจารณาตัดสิทธิผู้ที่จองรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรก แต่ยังไม่มาใช้สิทธิ แม้ในเงื่อนไขการใช้สิทธิจะไม่ถูกบรรจุในมติคณะรัฐมนตรีก็ตาม เพื่อต้องการให้โครงการปิดตัวลง หลังจากเปิดมาตั้งแต่ปลายปี 2554 ซึ่งกรมฯจะได้ตั้งงบเพื่อจ่ายในโครงการให้แล้วเสร็จ
ทั้งนี้ปัจจุบันมีประชาชนเข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรก และได้ใช้สิทธิ โดยแบ่งเป็นได้รับรถยนต์ไปแล้ว 1.125 ล้านราย ยังคงเหลือผู้ที่ยังไม่มารับรถยนต์ 1.2 แสนราย ทำให้เกิดยอดคงค้างที่สรุปไม่ได้ว่า จะมีคนมาใช้สิทธิหรือไม่ ซึ่งกรมสรรพสามิต ได้หารือกับผู้ประกอบการรถยนต์ว่า จะเปิดโอกาสให้บริษัทรถยนต์ติดต่อสอบถามกับลูกค้าที่ถือใบจองเข้าร่วมโครงการว่า ยังมีความต้องการเข้าร่วมโครงการอีกหรือไม่ หากไม่เข้าร่วมโครงการก็จะตัดสิทธิทันที
ส่วนการคืนเงินไม่เกิน 1 แสนบาทให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ล่าสุดมีผู้ได้รับเงินไปแล้ว 8.46 แสนราย มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท โดยเบิกจ่ายเงินไปทั้งหมด 28 ครั้ง ทุกๆ วันที่ 9 ของเดือน โดยเงื่อนไขที่สำคัญของโครงการรถยนต์คันแรกคือ ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป เป็นรถยนต์ใหม่อัตรากำลังไม่เกิน 1,500 ซีซี ส่วนรถกระบะไม่กำหนดซีซี มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ห้ามเปลี่ยนมือภายใน 5 ปี และกำหนดระยะเวลาของมาตรการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.54 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.55
ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒน์พงษ์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จำนวนของประชาชนที่เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรก ล่าสุดมาขอรับรถยนต์จากผู้ผลิตรถยนต์ไปแล้วรวม 1.13 ล้านคัน และมียอดตกค้างราว 100,000 คัน ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ค่ายรถยนต์ได้แจ้งให้ทราบว่า ขอยุติการเข้าร่วมโครงการกับภาครัฐแล้ว รวมทั้งผู้ที่ถือใบจอง บางรายแจ้งยืนยันว่า ขอทิ้งใบจองและทิ้งเงินมัดจำ ซึ่งบางรายแจ้งว่า ได้ซื้อรถยนต์รุ่นอื่นและยี่ห้อใหม่แล้ว เพราะมีแคมเปญตอบแทนผลประโยชน์มากกว่าโครงการรถคันแรก ทำให้ไม่มีปัญหาการฟ้องร้องของลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการ
นายสุรพงษ์ บอกด้วยว่า ภาคเอกชนขอเรียกร้อง ไม่ให้รัฐบาลใหม่ไม่ว่า จะเป็นพรรคการเมืองใด หรือในการหาเสียงเลือกตั้งในอนาคต อย่านำโครงการดังกล่าว มาใช้หาเสียง เพื่อหวังคะแนนเสียงจากประชาชน เพราะผลที่เกิดขึ้นแม้กระทรวงการคลังจะสามารถจัดสรรงบประมาณมาจ่ายคืนภาษีรถยนต์ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการได้ แต่ในข้อเท็จจริง พบว่า โครงการนี้ทำให้แผนการผลิตรถยนต์ของประเทศไทยผิดเพี้ยนไปจากปกติ เพราะก่อนหน้านี้ค่ายรถยนต์ก็เร่งกำลังการผลิตรถยนต์คนแรกเพื่อส่งมอบให้เอเย่นต์หรือผู้แทนจำหน่าย แต่เมื่อมีการทิ้งใบจอง ได้ทำให้รถยนต์ในโครงการ 130,000 คัน ไปตกค้างในสต๊อกที่โชว์รูมรถยนต์ ทำให้ค่ายรถยนต์ต้องเปลี่ยนแผนเพื่อหันไปผลิตเพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้น
ข่าวเด่น