สำนักงานใต้ร่มพระบารมี-กลุ่มนักลงทุนนานาชาติจีน ลงนามร่วมมือด้านการศึกษา-การลงทุน พัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตรตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยน้อมนำแนวทางพระราชดำริมาเป็นต้นแบบ นำร่องร่วมมือชาติแรกพัฒนาหลักสูตรนานาชาติ ก่อนรุกร่วมมือเมียนมาร์ ลาวและประเทศในกลุ่มอาเซียนต่อ
สำนักงานใต้ร่มพระบารมี โดยนายชัยรินทร์ นพเฉลิมโรจน์ เลขาธิการสำนักงานใต้ร่มพระบารมีและ MR. REN WEI (เรินเว่ย) ประธานบริษัทกลุ่มลงทุนนานาชาติ กวางใช่ กรุ๊ป จากสาธารณรัฐประชาชนจีนลงนามความร่วมมือ(MOU) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาและการเกษตรตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยน้อมนำแนวทางพระราชดำริมาเป็นต้นแบบในการปฏิบัติและนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืนของประชาชนในประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ อาคาร กสท โทรคมนาคม บางรัก โดยมีม.ร.ว.สมลาภ กิติยากร เลขานุการในพระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุและประธาน สำนักใต้ร่มพระบารมีเป็นประธาน
ทั้งนี้สำนักงานใต้ร่มพระบารมีได้มอบหมายให้นายศุภพสิษฐ์ นวลปานวรชาติ ผู้อำนวยการหลักสูตรเสาหลักเพื่อแผ่นดิน ดำเนินการต่อยอดการพัฒนาด้านการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ โดยยึดหลักกิจการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อชาวไทยมาตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนและนานาชาติ ซึ่งจะส่งผลในการสร้างความร่วมมือให้กับทั้ง 2 ประเทศตามวัตถุประสงค์สืบไป
นายชัยรินทร์เปิดเผยว่า การลงนามความร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก เนื่องจากหลักสูตรเสาหลักเพื่อแผ่นดิน สำนักงานใต้ร่มพระบารมีนโยบายที่จะเปิดหลักสูตรนานาชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะในการพัฒนาเรื่อง AEC ทั้งด้านการศึกษาและการลงทุน ซึ่งไทยและจีนเป็นพี่น้องกันมายาวนาน อยู่ในสังคมที่ใกล้ชิดกัน ความร่วมมือในวันนี้จะทำให้เกิดการพัฒนา โดยน้อมนำแนวพระราชดำริเข้ามาใช้ และเบื้องต้นจีนประสงค์จะเข้ามาสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน เทคโนโลยี และการศึกษา โดยเฉพาะการส่งเสริมภาคการเกษตรเพราะจีนมีเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้ตามโครงการพระราชดำริ เมื่อมีการศึกษา มีความเชื่อมโยง การขยายความช่วยเหลือความร่วมมือ หรือการจะเดินไปข้างหน้าต่อไปจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ความร่วมมือนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและเป็นเรื่องดี ๆ ที่ทำเพื่อถวายแด่พระเจ้าแผ่นดิน ถือเป็นความร่วมมือกันเป็นประเทศแรก ซึ่งทางหลักสูตรเสาหลักเพื่อแผ่นดินมีแผนที่จะร่วมมือกับเมียนมาร์และลาวและประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เพื่อนำแนวพระราชดำริมาใช้
"เรามีหลักสูตรเพื่อสอนให้เรียนรู้โครงการในพระราชดำริที่มีอยู่แล้วประมาณ 4,000 โครงการ เพื่อให้รู้ว่า พระองค์คิดอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ จากนั้นนำสิ่งที่รู้ไปทำโครงการต่อยอดเพื่อนำไปให้ประชาชนใช้ได้ประโยชน์ ถือเป็นการตอบแทนพระองค์ท่าน ไปช่วยประชาชนแทนพระองค์ท่าน"
ด้านนายศุภพสิษฐ์ กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือด้านการศึกษาและการลงทุน ซึ่งมีข้อดีหลายประการโดยจะมีการเปิดหลักสูตรการศึกษาใหม่จากปัจจุบันมี 3 หลักสูตร ได้แก่ 1. หลักสูตรผู้นำระดับสูงด้านการเมืองการปกครองตามแนวพระราชดำริ (The Royal Initiative For Advanced Leadership Program About Politics And Governing Administration-RAP)หรือเรียกย่อ ๆ ว่า "สมพ." 2. หลักสูตรผู้นำระดับสูงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (Pillars for The Kingdom Program : The Royal Initiative for Advanced Leadership-RIAL) หรือเรียกย่อว่า "สนพ." และ 3. หลักสูตรเสาหลักเพื่อแผ่นดิน "เกียรติยศ" ใต้ร่มพระบารมี (Pillars For The Kingdom Program "V.I.P." Under the Royal Graciousness-PVP) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า "สกพ." ที่จะเปิดในวันที่ 5 เมษายน 2557 นี้ เป็นการต่อยอดมาจากทั้ง 2 หลักสูตร
หลังความร่วมมือกับจีนจะมีหลักสูตรใหม่ตามมา ได้แก่ หลักสูตรผู้นำระดับสูงด้านการลงทุนนานาชาติ ตามแนวพระราชดำริ ซึ่งจะมีการใช้วิทยากร ทรัพยากร สถานที่ของทั้ง 2 ประเทศเป็นหลักและเปิดรับนักศึกษาในอาเซียนและเอเชียเข้ามาศึกษา มีการศึกษาดูงานและการสัมนาในจีนเป็นหลัก รวมถึงในประเทศใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นเวทีเพื่อก้าวสู่ความร่วมมือระดับนานาชาติ โดยหลักสูตรใหม่นี้จะเปิดในช่วงปลายปี
นอกเหนือจากนี้ในความร่วมมือกัน จีนจะส่งเสริมมหาวิทยาลัยในโครงการหลักสูตรเสาหลักเพื่อแผ่นดิน (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) และเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่มีธุรกิจ ศิษย์เก่าและใหม่ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและร่วมมือด้านการลงทุนกับจีนด้วย
สำหรับ MR. REN WEI เปิดเผยว่า ยังมองภาพอนาคตเศรษฐกิจของไทยในแง่ดีจากการประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจหลายด้าน ซึ่งทางกวางใช่ กรุ๊ป คาดหวังว่าจะสามารถร่วมมือกับไทยใน 2 ด้านสำคัญได้แก่ เทคโนโลยีแก้ไขปรับปรุงดินที่เสื่อมสภาพ การกำจัดสารพิษและมลพิษในดินและพื้นที่ที่กำลังจะกลายเป็นทะเลทราย และความร่วมมือด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งไทยเป็นประเทศที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยต่างประเทศสูงสุดในเอเชีย อนาคตจีนอาจมาลงทุนในอุตสาหกรรมทางด้านนี้และส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวทางการแพทย์ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการแพทย์ การบริการและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
ส่วนเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จีนพร้อมสนับสนุนอาทิ การแปลงขยะเป็นน้ำมันและปุ๋ย เทคโนโลยีโซลาร์เซล เทคโนโลยีรถไฟฟ้า เทคโนโลยีแบตเตอรีเพื่อมาใช้กับแท็กซี่และหลอดไฟประหยัดพลังงานราคาถูก เป็นต้น
ข่าวเด่น