จับสัญญาณธปท.ลดดอกเบี้ยอุ้มเศรษฐกิจ หลังความวุ่นวายทางการเมืองยืดเยื้อ กระทบภาคธุรกิจขนาดเล็ก
ความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 เดือน ผลกระทบเริ่มแผ่กระจายในสู่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs) ที่มีสายป่านด้านเงินทุนไม่มากนักเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ นายปฏิมา จีระแพทย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ยอมรับว่า จากการสุ่มสำรวจข้อมูลจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ทั่วประเทศ 500 ราย พบว่า ในเดือน ก.พ.2557 นี้ มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองรุนแรงสูงถึง 56% โดยเมื่อเปรียบเทียบจากผลสำรวจเดือน ม.ค.2557 พบว่ามีผู้ได้รับผลกระทบรุนแรง 38%
และจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการขนาดกลางรายหนึ่งพบว่า ยอดขายลดลงไปถึง 30% และผู้ประกอบการเครื่องดื่มบางรายลดลงประมาณ 20-30% ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองยอดขายลดลงจากปลายปี 2556 ถึง 40% โดยในส่วนของตลาดนัดสวนจตุจักรในเดือน ม.ค.2557 ที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปถึง 98% นักท่องเที่ยวชาวไทยหายไป 63% และมีร้านค้าปิดตัวลง 32%
สาเหตุสำคัญมาจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ผู้ซื้อจากต่างชาติหายไปมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเอสเอ็มอีจะได้รับผลกระทบรุนแรง แต่ สสว.ก็ยังไม่ปรับเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอสเอ็มอี เนื่องจากในปี 2557 นี้ โดยจะต้องรอดูสถานการณ์อีกระยะหนึ่ง
ขณะเดียวกันสสว.ก็ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใน 3 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือด้านการเงิน การตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ โดยมาตรการช่วยเหลือด้านการเงิน สสว.ได้รับความร่วมมือจาก 5 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพฯ ธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น โดยสถาบันการเงินเหล่านี้จะให้ความช่วยเหลือ อาทิ การพักชำระเงินต้นจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยเป็นเวลา 6-12 เดือน และการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ระยะเวลา 3-12 เดือน เป็นต้น คาดมีเอสเอ็มอีมาขอความช่วยเหลือ 2 หมื่นราย
ขณะที่ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยอมรับว่า วิตกกับภาวะชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ เนื่องจากสถานการณ์วุ่นวายทางการเมือง เพราะการบริโภคและการลงทุน ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ซึ่งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งต่อไปใน วันที่ 12 มี.ค.นี้ ก็จะนำปัจจัยเสี่ยงนี้มาพิจารณาเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันที่ 2.25% จะลดลงได้อีก
ส่วนการปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจส่งผลให้เงินทุนต่างประเทศไหลออก ธปท.เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากนักสำหรับไทย เพราะเศรษฐกิจของไทยโดยรวมมีความสมดุล
ด้านมุมมองของภาคเอกชนเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยนโยบาย นายกฤษณ์ จันทโนทก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเงินฝาก การลงทุน ประกันภัยและธนบดี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การใช้นโยบายการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยลงนั้น ธปท. ต้องประเมินผลที่อาจยิ่งกระตุ้นให้เงินไหลออก อีกทั้งอาจไม่มีส่วนในการช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนมากนัก เนื่องจากยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
ขณะที่อดีตผู้บริหารธปท. นายบัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เห็นว่า การใช้นโยบายดอกเบี้ยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากมองผลกระทบระยะสั้นที่ต้องการช่วยให้เกิดความมั่นใจต่อการลงทุน ธปท.อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยลง แต่หากมองปัจจัยระยะยาวในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินของไทย ก็คงต้องรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ระดับเดิมที่ 2.25% ต่อปี
ข่าวเด่น