หลังประสบความสำเร็จกับตัวโยเกิร์ตน้องใหม่ภายใต้แบรนด์“โยเกิร์ต เมจิ บัลแกเรีย” บริษัท ซีพี-เมจิ เร่งศึกษาตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคเพิ่มเติม เพื่อผลิตสินค้าใหม่ทำตลาด ล่าสุดเปิด “โยเกิร์ตเมจิ รอยัล ฟูจิ แอปเปิ้ล” เตรียมเข้าตลาดเม.ย.
หลังจากประสบความสำเร็จกับตัวโยเกิร์ตน้องใหม่ภายใต้แบรนด์“โยเกิร์ต เมจิ บัลแกเรีย” จนมียอดขายถล่มทลายจนผลิตไม่ทันไปเมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้ดาราคนดังอย่าง เจมส์ จิรายุ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าดังกล่าว จนทำให้โรงงานเก่าที่ปรับปรุงไปแล้วภายใต้งบลงทุน 1,000 ล้านบาท และโรงงานใหม่ที่ลงทุนไป 2,000 ล้านบาทในจ.สระบุรี ถึงกับผลิตสินค้าไม่ทัน เพราะสินค้าดังกล่าวมีกระแสดีเกินคาด
ความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท ซีพี-เมจิ ต้องออกมาเร่งทำการศึกษาตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคเพิ่มเติม เพื่อผลิตสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด เนื่องจากคนไทยยังมีอัตราการบริโภคนมและโยเกิร์ตน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้บริษัท ซีพี-เมจิ ต้องคลอดสินค้าน้องใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
นายสุจริต มัยลาภ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า ตลาดโยเกิร์ตในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคนไทยหันมาใส่ใจ รักสุขภาพมากขึ้น โดยเลือกบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า ทางสารอาหารเป็นปัจจัยสำคัญ ส่งผลให้ตลาดในประเทศไทยแข่งขันกันสูงขึ้น ด้วยการออกสินค้าใหม่ของแบรนด์หลักเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง และการทำกิจกรรมทางการตลาด เพื่อตอกย้ำผู้นำด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตที่มีรสชาติไม่ซ้ำใคร
ล่าสุดบริษัท ซีพี-เมจิ ได้ออกมาเปิดตัว“โยเกิร์ตเมจิ รอยัล ฟูจิ แอปเปิ้ล” ซึ่งมีส่วนผสมที่เข้มข้นของเนื้อโยเกิร์ต เข้ากันกับความหอมอร่อยของรสชาติและความกรุบกรอบของเนื้อรอยัล ฟูจิ แอปเปิ้ลสายพันธุ์ดี ที่อุดมไปด้วย 3 คุณประโยชน์เพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย โคเลสเตอรอล 0%, ไขมันต่ำ และน้ำตาลน้อยเข้ามาทำตลาด โดยจะเริ่มวางสินค้าดังกล่าวออกจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในช่วงปลายเดือนก.พ. นี้ ในขนาดบรรจุ 140 กรัม ราคา 14 บาท หลังจากนั้นประมาณเดือนเม.ย. จะเริ่มวางสินค้าดังกล่าวขนาดบรรจุ 90 กรัม ราคา 10 บาท จำหน่ายที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ
นายสุจริต กล่าวว่า หลังจากนำสินค้าใหม่ดังกล่าวเข้าทำตลาดบริษัทมั่นใจว่า โยเกิร์ตเมจิ รอยัล ฟูจิ แอปเปิ้ล จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากผู้บริโภค เพราะจากการวิจัยตลาดก่อนที่จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดพบว่า โยเกิร์ตรอยัล ฟูจิ แอปเปิ้ลเป็นรสที่ผู้บริโภคให้คะแนนความชื่นชอบสูงที่สุด โดยมีคะแนนความชื่นชอบสูงถึง 99% หลังจากได้ชิม ถือเป็นคะแนนที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย ของกลุ่มผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตที่อยู่ประมาณ 73% เท่านั้น
ในด้านของแผนการทำตลาด โยเกิร์ตเมจิ รอยัล ฟูจิ แอเปิ้ล บริษัทซีพี-เมจิ ได้เตรียมงบประมาณไว้ที่ 35 ล้านบาท ในการทำตลาดสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะเน้นการตลาดแบบครบวงจร ทั้งกิจกรรมทางออนไลน์เพื่อสร้างความใกล้ชิด และกิจกรรมแจกชิมสินค้าตัวอย่างกว่าหลายแสนถ้วย รวมถึงโปรโมชั่นและกิจกรรม ณ จุดขาย เพื่อสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นชาย-หญิง อายุ 18-25 ปี ที่เริ่มหันมาดูแลตัวเอง อยากดูดี และเลือกทานอะไรที่ดีต่อสุขภาพ โดยคาดว่าจะสามารถทำยอดขายเพิ่มเติมได้ล้านถ้วยต่อเดือน
ปัจจุบันภาพรวมตลาดโยเกิร์ตมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 4,500 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 17% โดยในส่วนขอบริษัท ซีพี-เมจิ ปัจจุบันครองส่วนแบ่งทางตลาดโยเกิร์ต เป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 22% ซึ่งจากแผนการทำตลาดที่บริษัทมุ่งเน้นการออกสินค้าใหม่ และกลยุทธ์การตลาดที่เหนือคู่แข่งบริษัท ซีพี-เมจิ มั่นใจว่าจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดภายในระยะเวลา 3-5 ปี ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากคนไทยหันมาบริโภคโยเกิร์ตมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้คนไทยจะมีการบริโภคโยเกิร์ตเพิ่มมากขึ้นแต่ยังถือว่ามีอัตราการบริโภคเฉลี่ยที่น้อยมากคือคนละ 2 กก.ต่อปีเท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติในการบริโภคเพียงเพื่อแก้ไขปัญหาท้องผูกเป็นหลัก ในขณะที่ชาวต่างประเทศนิยมบริโภคเนื่องจากเห็นว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยในสหรัฐอเมริกามีอัตราการบริโภคเฉลี่ยคนละ 7 กก.ต่อปี คนญี่ปุ่นและแคนาดาบริโภคเฉลี่ย 10 กก.ต่อปี ส่วนคนยุโรปบริโภคเฉลี่ยคนละ 27 กก.ต่อปี
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดโยเกิร์ตไทยมีการแข่งขันกันผ่านผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่คล้ายๆ กัน คือ ซอฟต์โยเกิร์ต ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วโยเกิร์ตมีมากมายหลายชนิดและมีนวัตกรรมที่น่าสนใจอีกมาก และยังไม่มีผู้เล่นเข้ามาทำตลาดอย่างจริงโดยเฉพาะสินค้านวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยมีในตลาด แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการก็ต้องทำการศึกษาตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทราบถึงความต้องการของผู้บริโภค และพัฒนาสินค้าใหม่เข้าทำตลาด
นายสุจริต กล่าวต่อว่า หลังจากที่บริษัทได้ทราบถึงช่องว่างของการเข้ามาทำตลาดโยเกิร์ต จึงได้ทำการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดระดับบน ด้วยผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในรูปแบบเซตโยเกิร์ตที่มีจุดเด่น 3 ด้าน คือ ใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์แท้ที่ได้รับการยอมรับว่าคุณภาพดีที่สุดในโลก ผ่านกระบวนการผลิตโดยปราศจากสารปรุงแต่งใดๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ได้เนื้อโยเกิร์ตที่แน่น เนียน นุ่ม และมีรสชาติอร่อยเข้มข้น
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม “โยเกิร์ต เมจิ บัลแกเรีย” จึงประสบความสำเร็จจนผลิตสินค้าไม่ทันกับความต้องการของตลาด จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้ผู้นำตลาดอย่างดัชมิลด์ ผู้ทำตลาดโยเกิร์ตดัชชี่ และแอคทีเวีย ถึงกับเซกับแรงกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าวพอสมควร โดยเฉพาะแอคทีเวีย หลังจากหายไปจากตลาดโยเกิร์ตนานหลายปี และกลับมาบุกตลาดใหม่อีกครั้งในปี 2555 ก็ต้องเงียบหายไปอีกครั้งในปี 2556 เพราะกระแสความแรงของตัว “โยเกิร์ต เมจิ บัลแกเรีย”เช่นเดียวกับดัชชี่
อีกปัจจัยความสำเร็จของ “โยเกิร์ต เมจิ บัลแกเรีย” นอกจากจะผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคแล้ว การดึงดาราที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนความสำเร็จ เพราะปีที่ผ่านมาคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า เจมส์ จิรายุ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และถ้านำมาเปรียบเทียบกับพรีเซ็นเตอร์ที่แอคทีเวียและดัชชี่ ดึงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้ว ทำให้ความแรงของทั้ง 2 แบรนด์แผ่วลงไปเลยทีเดียว แม้ว่าดาราทั้ง 2 คนที่ดึงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์จะเป็นที่รู้จักไม่ว่าจะเป็นเชอร์รี่ เข็มอัปสร พรีเซ็นเตอร์แอคทีเวีย หรือ พลอย เฌอมาลย์พรีเซ็นเตอร์ดัชชี่
แม้ว่าขณะนี้โยเกิร์ตทั้ง 2 แบรนด์ จะยังไม่ออกมาประกาศแผนการทำตลาดโยเกิร์ต หรือเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาด แต่คาดว่าในเร็วๆ นี้ทั้ง แอคทีเวียและดัชชี่ น่าจะออกมาเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดอย่างแน่นอน เพราะหากอยู่เฉยๆ อาจโดนคู่แข่งเบอร์รองอย่างซีพี-เมจิ ที่นับวันจะมีส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มสินค้าโยเกิร์ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคยอมควักเงินออกจากกระเป๋า เพื่อซื้อโยเกิร์ตรับประทานหลักๆ คงจะหนีไม่พ้นแบรนด์สินค้าที่เป็นที่รู้จัก เนื่องจากผู้บริโภคต้องการความมั่นใจว่าสินค้าที่ซื้อไปมีความน่าเชื่อถือ ส่วนปัจจัยต่อมา คือ การมีรสชาติหลากหลายให้เลือก และเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมบริโภครสผลไม้รวม เพราะเชื่อว่าจะมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ
เหตุผลที่บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อโยเกิร์ตรับประทาน คือ ต้องการมีสุขภาพที่ดี และขณะเดียวกันก็บริโภคจากผู้มีอิทธิพลทางด้านจิตใจ เช่น ดารานักแสดงที่ชื่นชอบ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้ประกอบการในตลาดโยเกิร์ตถึงต้องดึงดาราชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้า เพราะดาราที่มีชื่อเสียงถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดของผู้บริโภค
ถึงแม้ว่าในปีนี้จะยังไม่เห็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่ในตลาดโยเกิร์ต เนื่องจากยังต้องการประคองตัวช่วงกำลังซื้อผู้บริโภคลด แต่จากการที่บริษัท ซีพี-เมจิ อกมาชิมลางคลอดสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด เชื่อว่าแบรนด์แอคทีเวีย ซึ่งก่อนหน้านี้อออกมาประกาศแผนเชิงรุกผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ โรงงานดี ผลิตภัณฑ์ดี และพันธมิตรดีในเร็วๆนี้น่าจะมีอะไรออกมาให้เห็นเพิ่มเติม เช่นเดียวกับ ดัชชี่ ที่ยังคงซุ่มทำการตลาดแบบเงียบๆ เพื่อคงบัลลังก์ผู้นำตลาดโยเกิร์ตไว้
สำหรับภาพรวมการแข่งขันในตลาดโยเกิร์ตปีนี้ คาดว่าน่าจะยังมีการแข่งขันกันรุนแรง แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่เห็นภาพดังกล่าว ซึ่งส่วนหนึ่งอาจอยู่ระหว่างการวางแผน และรอความชัดเจนปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงด้านจิตวิทยาและกำลังซื้อของผู้บริโภค เห็นได้จากการชะลอซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม หลังจากภาพรวมทุกอย่างปรับตัวดีขึ้นน่าจะส่งผลให้ภาพรวมตลาดโยเกิร์ตกลับมาคึกคักอีกครั้ง
จากแนวโน้มที่คาดว่าจะมีการแข่งขันในตลาดโยเกิร์ตที่รุนแรง น่าจะช่วยผลักดันให้ภาพรวมตลาดโยเกิร์ตในสิ้นปีนี้มีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันผู้บริโภคยังคงต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องจากผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองและคนใกล้เคียงมากขึ้น แต่ภาพรวมของตลาดโยเกิร์ตจะเติบโตเท่าไหร่นั้นยังเหลืออีก 10 เดือนให้ได้ลุ้น และดูการแข่งขันของผู้ชิงในตลาด ซึ่งปีนี้น่าจะมีการปล่อยกลยุทธ์อะไรเด็ดๆ ออกมาให้บริโภคได้เห็นอีกมากพอสมควร
ข่าวเด่น