ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 12 มี.ค. 57 นี้ กำลังเป็นที่จับตามองของผู้คนในแวดวงธุรกิจตลาดเงินและตลาดทุน ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย ทั้งการคาดการณ์ว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยและบางส่วนคาดว่า น่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25%
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เชื่อว่า กนง.น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.25% เนื่องจากปัจจัยบวกและลบมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันกับอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ดังนั้น ช่องว่างดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีไม่มากนัก
ที่สำคัญขณะนี้มีความกังวลเรื่องปัญหาระหว่างยูเครนกับรัสเซียจะส่งผลต่อราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น กดดันให้อัตราเงินเฟ้อขยับอาจเพิ่มสูงกว่ากรอบ 2.4% กนง.คงรอดูสถานการณ์ก่อนตัดสินใจว่าจะปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่
ขณะที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมในเดือนมีนาคม และอีกครั้งภายในครึ่งปีแรก โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.75% ในปี 2557 เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาคเอกชนในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังอ่อนแอ
เนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2556 และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ยังไม่น่าจะมีรัฐบาลที่มีอำนาจในการบริหารงานอย่างเต็มที่จนถึงต้นไตรมาสที่ 3 ของปี ซึ่งส่งผลให้โอกาสที่เศรษฐกิจไทยในปี 2557 จะขยายตัวได้มากกว่าปี 2556 ที่ระดับ 2.9% มีค่อนข้างน้อย
แม้ว่าการส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้ดีราว 5% แต่ปัจจัยสนับสนุนอื่น อันได้แก่ การท่องเที่ยว และอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแอ
สอดคล้องกับ ดร. กำพล อดิเรกสมบัติ หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่า การประชุม กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เหลือ2% เนื่องจากการประชุมรอบที่แล้วไม่ได้ลด และคาดว่าการลดดอกเบี้ยรอบนี้ เพื่อไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ในระบบมากไป และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนนายอมรเทพ จาวะลา หัวหน้าศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและตลาดการเงิน สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ที่ยอมรับว่า มีโอกาสที่จะเห็นกนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมครั้งนี้ แม้จะไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที แต่เชื่อว่าจะช่วยลดภาระหนี้ในส่วนของภาคครัวเรือนได้
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยที่เป็นแรงสนับสนุนให้กนง.สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงได้ เช่น การชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ เงินไหลออกระยะสั้น สภาพคล่องของธนาคารมีค่อนข้างสูง และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เพราะไม่มีแรงกดดันจากราคาน้ำมัน
ขณะที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การประชุมกนง. เดือนมี.ค.นี้ ไม่ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% หรือมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ก็จะไม่ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนในขณะนี้ยังไม่ถดถอยลงมาก แต่หาก กนง. เห็นสัญญาณเชิงลึกจากหน่วยงานต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ก็สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ที่่สุดคงต้องติดตามว่า คณะกรรมการกนง.จะให้น้ำหนักกับปัจจัยอะไรเป็นหลักในการพิจารณาทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ข่าวเด่น