"เอสซี แอสเสทฯ" ลุยลงทุนโครงการใหม่ 7 โครงการรวด หลังปีก่อนยอดขายแตะ 10,000 ล้านบาท เผยปีนี้รายได้โต 20% พร้อมมุ่งสู่ทศวรรษที่ 2 ภายใต้นโยบายเติบโตอย่างยั่งยืน
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 11 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน หลังจากที่สามารถทำรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้ารายได้ไวัที่ 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตขึ้น 20% ซึ่งมีความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย เพราะในปีนี้บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ หรือ Backlog สูงถึง 40% ซึ่งสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มธุรกิจมา
สำหรับแผนลงทุนในปีนี้นั้น บริษัทจะลงทุนโครงการใหม่ระดับพรีเมี่ยม 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,560 ล้านบาท ซึ่งจะให้ความสำคัญกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน ประกอบด้วย โครงการแนวราบ 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,560 ล้านบาท โดยมีโครงการที่ชะอำ-หัวหิน 1 โครงการ และในกรุงเทพฯ อีก 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม , โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม , โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ศรีสมาน , โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด วงแหวน-พระราม9 รวมถึงโครงการ โฮมออฟฟิศ เวิร์ค เพลส ราชพฤกษ์-จรัญฯ พร้อมกับโครงการแนวสูง คือ โครงการคอนโดมิเนียมหรูในระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ บริเวณศาลาแดง ภายใต้ซับแบรนด์ใหม่ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท
สำหรับไตรมาสที่สองนี้ บริษัทจะเปิดพรีวิว 2 โครงการระดับพรีเมี่ยมที่ชะอำและหัวหิน ในช่วงเทศกาลพิเศษรับซัมเมอร์ที่จะจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 5-15 เมษายนนี้ ซึ่งจะได้จัดแคมเปญ VIP Visit กับ 2 โครงการที่พักตากอากาศติดชายทะเลบริเวณชะอำ-หัวหิน โครงการแรกจะเปิดพรีวิวโครงการใหม่ล่าสุด ชื่อ “โครงการ บูเลอวาร์ด ทัสคานี ชะอำ-หัวหิน” บ้านพักตากอากาศสไตล์ ทัสคานี บนพื้นที่ 52 ไร่ติดทะเล จำนวน 193 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 6-40 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท
ส่วนโครงการเดอะเครสท์ ซานโตรา หัวหิน คอนโดมิเนียม และวิลล่าตากอากาศสไตล์ซานโตรินี่ ที่มีจุดเด่นทำเล คือ ติดชายหาดหัวหิน หน้ากว้างติดทะเลประมาณ 80 เมตร โดยเป็นอาคารโลว์ไรส์สูง 4 ชั้น จำนวน 10 อาคาร จำนวนเพียง 171 ยูนิต และ Ocean Front Pool Villa สุดหรูแบบส่วนตัว จำนวนเพียง 10 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 30 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ โดยให้ลูกค้า VIP ได้เลือกชมห้องและสัมผัสทิวทัศน์บรรยากาศจริงก่อนใคร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทจะมีโครงการที่เปิดขายรวมทั้งสิ้น 35 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 35,600 ล้านบาท ประกอบด้วยกับ โครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,560 ล้านบาท กับโครงการต่อเนื่องที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 28 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 25,000 กว่าล้านบาท
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า นอกจากการลงทุนในโครงการใหม่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่บริษัทต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คือ วางเป้าหมายว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ อีกทั้งยังต้องสามารถรักษาหรือพัฒนามาตรฐานคุณภาพของสินค้าและบริการหลังการขายได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้พันธสัญญา (Commitment) ที่ให้ไว้ต่อลูกค้าทั้งหมด โดยทิศทางหลักที่จะดำเนินการในช่วงแรก ประกอบด้วย
1.การปรับปรุงและพัฒนาภายในองค์กร ตั้งแต่การวางแนวทางในการพัฒนาบุคลากร (Competency), กระบวนการทำงาน, รวมไปถึงวัฒนธรรมองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิ ซึ่งจะรวมไปกับการเติบโตของจำนวนโครงการ จำนวนลูกบ้าน และ พนักงานที่มากขึ้นในแต่ละปี
2.การสร้างและสานต่อความสัมพันธ์ที่แข็งแรงต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทางธุรกิจทั้งหมด (Stakeholder) นับตั้งแต่ผู้ถือหุ้น , ลูกค้า, บริษัทคู่ค้า, พนักงาน และ สังคม เพราะการเติบโตที่แข็งแรงและยั่งยืนที่สุด คือ การเติบโตไปพร้อมๆ กัน และส่งเสริมกัน
ข่าวเด่น