หลังจากกลุ่มเซ็นทรัลประมูลที่ดินผืนงามขนาด 9 ไร่ บริเวณสถานทูตอังกฤษเดิม ย่านเพลินจิตตัดกับถนนวิทยุได้ในปี 2549 ด้วยเม็ดเงินการลงทุน 9.5 แสนบาทต่อตารางวา ถือเป็นศูนย์การค้าที่มีต้นทุนแพงที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากราคาที่ดินเฉลี่ยตารางเมตรละแสนกว่าบาท
นอกจากนี้ หากมองที่เม็ดเงินการลงทุนที่เซ็นทรัลเตรียมไว้กว่า 1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นโครงการที่กลุ่มเซ็นทรัลใช้เงินก้อนโตที่สุดในรอบประวัติศาสตร์กว่า 60 ปี ของการดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากกลุ่มเซ็นทรัลต้องการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับย่านเพลินจิต ซึ่งหลังจากเตรียมงบก้อนโตไว้พร้อม กลุ่มเซ็นทรัลก็พร้อมเปิดตัวโครงการบนพื้นที่ดังกล่าว ภายใต้ชื่อ "เซ็นทรัล เอ็มบาสซี" ในปี 2554
สำหรับรูปแบบของโครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี กลุ่มเซ็นทรัลวางรูปแบบของโครงการให้เป็นอาคารรูปทรงอินฟินิตี้แบ่งเป็นศูนย์การค้า 8 ชั้น (รวมชั้นใต้ดิน) และโรงแรมหรูหรา 6 ดาว “พาร์ค ไฮแอท” 30 ชั้น ภายใต้คอนเซปต์ “The Infinite Nature of Possibilities” เพื่อให้สอดรับกับแนวคิดการออกแบบของตัวอาคาร
จากรูปทรงของตัวโครงการที่แตกต่างไปจากศูนย์การค้าทั่วไป เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เน้นไปที่กลุ่มลูกค้าระดับบน กลุ่มเซ็นทรัลจึงหมายมั่นปั้นมือให้โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เป็น Iconic Building ยกระดับกรุงเทพฯสู่เมืองระดับอินเตอร์ เทียบชั้นสัญลักษณ์มหานครดังๆ ในต่างประเทศ เช่น ตึกไทเป 101 ของไต้หวัน โตเกียว มิดทาวน์ ของญี่ปุ่น แปซิฟิก เพลส ของฮ่องกง และไอเอฟซี ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
แม้ว่าการก่อสร้างจะมีความล่าช้าไปจากแผนเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มเซ็นทรัลมีแผนที่จะอวดโฉมโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซีในปลายปี 2556 เลื่อนเป็นวันที่ 8 พ.ค. 2557 แต่ก็ไม่ได้ทำให้โครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ขาดความน่าสนใจ
นายชาติ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ของกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า กว่า 7 ปีแห่งการรอคอย วันนี้โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ได้เสร็จสมบูรณ์พร้อมอวดโฉมแล้วในวันที่ 8 พ.ค.นี้ ซึ่งแนวคิดการบริหารโครงการดังกล่าวทางกลุ่มเซ็นทรัล ยังคงวางไว้ตามแผนเดิม คือ การปักธงประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวแบบลักชัวรี่ไลฟ์สไตล์ ภายหลังจากเปิดตัวโครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เพื่อพลิกโฉมตลาดลักชัวรี่ รีเทล ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่แห่งประสบการณ์ช้อปปิ้งระดับหรู
กว่า 3 ปี ที่ก่อสร้างโครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เพื่อให้ทุกรายละเอียดของโครงการมีความสมบูรณ์ สรุปแล้วกลุ่มเซ็นทรัลได้ใช้งบลงกับโครงการดังกล่าวไปกว่า 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบการซื้อที่ดิน 6,000 ล้านบาท งบการก่อสร้าง 7,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5,000 ล้านบาท เป็นงบลงทุนการตกแต่งภายในของทางศูนย์และร้านค้าต่างๆ
หลังจากเปิดตัวโครงการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี อย่างเป็นทางการในวันที่ 8 พ.ค.นี้ กลุ่มเซ็นทรัลได้เตรียมงบไว้ 300 ล้านบาท เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปีนี้ ซึ่งในส่วนของงบดังกล่าว 100 ล้านบาท จะนำมาใช้ในการจัดงานเปิดตัวโครงการในวันที่ 8 พ.ค. ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการและมีการทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีปริมาณลูกค้าเข้าหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการในเบื้องต้นประมาณ 50,000-60,000 คนต่อวัน แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 50% และคนไทย 50%
นายชาติ กล่าวว่า งบประมาณในการก่อสร้างศูนย์การค้าไม่ได้บานปลายมากนัก แต่ส่วนของโรงแรมที่จะเปิดบริการประมาณปีหน้างบอาจบานปลายเล็กน้อย จากเดิมวางไว้งบประมาณที่ 3,000 ล้านบาท เนื่องจากต้องการพัฒนาให้ดีที่สุดจะเป็นโรงแรมปาร์คไฮแอทกรุงเทพ 6 ดาว ซึ่งมีเพียง 36 สาขาทั่วโลกเท่านั้น และเป็นแห่งแรกในไทย
ในส่วนของโรงหนัง ขณะนี้ได้ข้อสรุปแล้วว่าเป็นของกลุ่มเอ็กเซกคิวทีฟซินี จากประเทศแคนาดา ซึ่งเบื้องต้นใช้งบในการลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท บนพื้นที่ประมาณ 3,000 ตร.ม. ใช้แบรนด์ในการบริหารภายใต้ชื่อ ดิ เอ็มบาสซี ดีโพลแมท สกรีน ซึ่งจะมีโรงหนังให้บริการจำนวน 5 โรง หลังจากเปิดให้บริการคาดว่าราคาตั๋วจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-1,500 บาทต่อที่นั่ง
นายชาติ กล่าวต่อว่า ในด้านของแผนการทำตลาด กลุ่มเซ็นทรัลได้มีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเล็กน้อยในด้านของการให้เช่าพื้นที่ ด้วยการหันมาใช้วิธีการแบ่งเปอร์เซ็นต์กับร้านค้าผู้เช่าตามสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่ตกลงกันแต่ละรายไปแล้วแต่กรณี คือ มียอดขายเท่าใดก็แบ่งรายได้กันตามที่ตกลงไว้ เพื่อทำให้รู้ว่าร้านค้าใดมียอดขายที่ดี ร้านค้าใดมียอดขายไม่ดี
สำหรับร้านค้าที่เข้ามาเปิดให้บริการภายในโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซีนั้น ปัจจุบันมีมากกว่า 200 แบรนด์ โดยมี 7 แบรนด์ที่จะเปิดตัวเป็นไอคอนนิคสโตร์แห่งแรกด้วย คือ Bottega Veneta, Chanel, Gucci, Hermes, Miu Miu, Prada และ Ralph Lauren นอกนั้นยังมีแบรนด์ใหม่ไม่เคยเปิดมาก่อนในไทย เช่น BCBG Max Azria, Christian Louboutin และ Isabel Marant เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ดังที่เปิดให้บริการในประเทศไทยเข้ามาเปิดให้บริการภายใต้คอนเซ็ปต์สโตร์ใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่างจากสาขาเดิมที่เคยเปิดให้บริการในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเติมเต็มอย่างเต็มรูปแบบให้กับโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี
จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 26.7 ล้านคน ส่งผลให้สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 1.18 ล้านล้านบาท (มกราคม – กันยายน 2556 : ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าว 10% สนใจที่จะเข้ามาช้อปปิ้งในประเทศไทย กลุ่มเซ็นทรัลจึงเล็งเห็นโอกาสดังกล่าว ด้วยการสร้างโครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่ยังมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก
ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายระยะยาวของโครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี คือ การเพิ่มยอดการใช้จ่าย ในแง่ของการช้อปปิ้งขึ้นให้ทัดเทียมกับประเทศฮ่องกง, สิงคโปร์ และญี่ปุ่น แนวทางดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการร่วมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยขึ้นเป็นสวรรค์ของการช้อปปิ้งในภูมิภาคเอเชียอย่างแท้จริง
นายชาติ กล่าวปิดท้ายว่า จากเป้าหมายที่ต้องการนำประเทศไทยขึ้นสู่การเป็นประเทศแนวหน้าในตลาดลักชัวรี่ไลฟ์สไตล์ โดยทางกลุ่มเซ็นทรัลมีแผนที่จะนำโมเดลของโครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี มาขยายผลต่อในจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทยที่มีศักยภาพ เพื่อเติมเต็มทุกความต้องการด้านลักชัวรีช้อปปิ้งของลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งภายในอีก 2 ปี คาดว่าจะพร้อมเริ่มดำเนินการ
แม้ว่าขณะนี้จะมีปัจจัยลบทางด้านการเมืองให้มีความกังวลอยู่บ้าง แต่จากการที่กลุ่มเซ็นทรัลยังคงเดินหน้าโครงการค้าปลีกใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายตัวของธุรกิจอื่นในเครือ จำนวน 8 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า (DSG) 2.กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภค (FMCG) 3.กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า (HDLG) 4.กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์เครื่องเขียน หนังสือ และออนไลน์ (OFMG) 5.กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ (CPN) 6.กลุ่มธุรกิจบริหารและจัดการสินค้านำเข้า (CMG) 7.กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต (CHR) และ 8.กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร (CRG) เป้าหมายรายได้สิ้นปีนี้ที่ 267,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 14% น่าจะทำได้ไม่ยาก
ข่าวเด่น