ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/2557 ที่ 13,129 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกันกับไตรมาส 1/2556 และเพิ่มขึ้น 11.7% จากไตรมาส 4/2556 แม้ว่าสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวมมีการชะลอตัว ธนาคารสามารถแสดงการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในรายได้หลัก อันได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ ค่าธรรมเนียมบริการ และรายได้จากการรับประกันภัย ในขณะเดียวกันธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดีเป็นไปตามกลยุทธ์ที่กำหนด ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2557 รายได้เงินปันผลลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2556 ซึ่งอยู่ในระดับสูง และถึงแม้คุณภาพสินเชื่อของธนาคารอยู่ในระดับทรงตัว ธนาคารก็ยังได้มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 ตามหลักการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง
ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร กล่าวถึงผลประกอบการของไตรมาส 1/2557 ว่า “ผลสำเร็จที่ดีนี้สะท้อนถึงขีดความสามารถของธนาคาร ความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับตลาดและตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้า อันเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพในการทำธุรกิจอย่างครบวงจรของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ รวมถึงประสิทธิผลจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง”
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ เพิ่มขึ้น 12.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อ 8.8% ในไตรมาส 1/2557 แม้ว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อจะค่อนข้างทรงตัว ธนาคารประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการบริหารต้นทุนด้านเงินฝากซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ ส่งผลให้ต้นทุนด้านเงินฝากลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยรวมลดลง 6.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2556 อันเป็นผลจากการลดลงของรายได้เงินปันผลซึ่งปรับตัวลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1/2556 อย่างไรก็ตามรายได้สุทธิจากค่าธรรมเนียมและรายได้จากการรับประกันภัยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 9.1% โดยมาจากค่าธรรมเนียมจากการให้บริการการเงินเพื่อธุรกิจและธุรกิจการรับประกันภัยเป็นหลัก
ทั้งนี้ การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้อัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost-to-Income Ratio) ลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับ 35.7%
ด้านคุณภาพของสินทรัพย์ ด้วยการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ธนาคารได้ตั้งสำรองเพิ่มเติมใน ไตรมาสแรกของปีนี้จำนวน 3,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) เพิ่มขึ้นจาก 2.06% ในไตรมาสที่ 1/2556 เป็น 2.11% และทรงตัวอยู่ในระดับนี้ตั้งแต่สิ้นปี 2556
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวเสริมว่า “นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ธนาคารสามารถรักษาผลประกอบการในระดับที่ดีได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนเช่นในปัจจุบัน ความสำเร็จนี้นอกจากจะสะท้อนถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังเกิดจากความมุ่งมั่นของธนาคารและความร่วมมือร่วมใจของพนักงานที่ตั้งใจจะส่งมอบบริการที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้าและสังคมอย่างต่อเนื่อง”
ข่าวเด่น