ถ้าพูดถึงกาแฟที่มีชื่อเสียงของประเทศลาว หลายคนคงจะนึกถึง “กาแฟดาว” เพราะมีรสชาติที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เนื่องจากปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ และเทคนิคการปลูกกาแฟโดยชาวฝรั่งเศส ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่ต้นปี 2533 บนที่ราบสูงโบโลเวณ เขตอำเภอปากซอง แขวงจำปาสัก ซึ่งเป็นที่ดินภูเขาไฟเก่า อันสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุที่กาแฟต้องการ รวมถึงแหล่งน้ำจากธรรมชาติที่มีปริมาณมากตลอดทั้งปี ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ย 25 องศาเซลเซียสตลอดปี จึงทำให้กาแฟมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจ กาแฟดาว หรือ ดาวคอฟฟี่ ถือเป็นผู้ทำธุรกิจกาแฟ เกรดพรีเมี่ยมครบวงจร ทั้งด้านเพาะปลูก – พัฒนาสายพันธุ์ – กระบวนการผลิต จนกระทั่งออกมาเป็นสินค้าพร้อมจำหน่าย ทั้งรูปแบบ เมล็ดกาแฟคั่ว, แบบ Instant ตลอดจนแบบ 3 in 1 และกาแฟกระป๋อง โดยเริ่มเพาะปลูกกาแฟ ชา และ สินค้าเกษตรในปี 2541 และได้เริ่มโรงงานแห่งที่ 2 ในปี 2553 รวมพื้นที่การผลิต 1,500 ไร่
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “เกษตรพันธสัญญา” หรือ Contract Farming เพื่อสนับสนุนเกษตรกรกว่า 1,000 ครอบครัว ล่วงหน้าก่อนมีการทำโรงงาน 5 ปี และทำการก่อสร้างและเปิดโรงงานแห่งที่ 2 ที่ใช้เครื่องจักรทันสมัยที่สุด ในระบบ Freeze Dry ซึ่งกลุ่มบริษัทดาวเฮือง มีความปลื้มปิติอย่างยิ่งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จเยี่ยมชมทั้งสวนกาแฟ และโรงงานกาแฟดาวถึง 2 ครั้ง
น.ส.บุนเฮือง ลิดดัง รองประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง กล่าวว่า แนวทางการทำธุรกิจกาแฟดาวคอฟฟี่ นับจากนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการทำตลาดต่างประเทศมากกว่าการทำตลาดในประเทศ เนื่องจากประเทศลาวมีประชากรน้อย ดังนั้นการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศจึงถือเป็นโอกาสในการสร้างรายได้หลักให้กับธุรกิจกาแฟดาวคอฟฟี่
ดังนั้น แนวทางการขยายตลาดส่งออกของกาแฟดาว นับจากนี้ กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง วางเป้าหมายไว้ว่าจะต้องขยายตลาดให้ได้ 1 ประเทศ 1 ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันได้ขยายตลาดไปแล้วในแถบภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ไทย, เวียดนาม, พม่า และกัมพูชา โดยรูปแบบของกาแฟที่ส่งออกไปทำตลาดจะมีทั้งกาแฟสำเร็จรูป และกาแฟ 3in1 รวมไปถึงกาแฟกระป๋อง และร้านกาแฟ
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัท ดาวเฮือง ยังได้ส่งออกกาแฟไปทำตลาดยังประเทศญี่ปุ่น เน้นกาแฟดิบสายพันธุ์อาราบิก้าเป็นหลัก โดยในแต่ละปีจะมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ประมาณ 6,000 – 7,000 ตันต่อปี ส่วนประเทศจีน เน้นผลิตภัณฑ์ 3 in 1 เป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพ
น.ส.บุญเฮือง กล่าวว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2558 นี้ เมื่อเปิดการค้าเสรีอาเซียน สปป.ลาว จะได้เปรียบมากที่สุด เนื่องจากการค้าขายชายแดนพิเศษอยู่ที่ลาว ส่งออกง่าย ขนส่งก็ง่าย เพราะลาวเป็นจุดศูนย์กลางที่เป็นทางผ่านทั้งหมดในการขนส่งสินค้า
สำหรับตลาดต่างประเทศในแถบยุโรป น.ส.บุนเฮือง กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ บริษัทกำลังทำตลาดกาแฟสำเร็จรูปในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ มีแผนการเปิดตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีคนดื่มกาแฟเยอะ โดยขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจตลาดและเก็บข้อมูลการบริโภคว่า ผู้บริโภคนิยมดื่มกาแฟแบบใดมากที่สุด โดยเริ่มสำรวจประเทศจอร์แดนเป็นลำดับแรก เนื่องจากมีแนวโน้มสูง พบว่า 3 in 1 ตอบรับดีที่สุด โดยมี 3 รสชาติให้เลือก
อย่างไรก็ดี ในอีก 2 เดือนข้างหน้า บริษัทจะร่วมกับทางผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกาแฟจาก 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนรวมตัวกันจดทะเบียนตั้ง "สมาคมกาแฟอาเซียน" ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อให้กาแฟในตลาดอาเซียนสามารถแข่งขันกับทางยุโรปได้ง่ายขึ้น เพราะกาแฟของอาเซียนในบางประเทศมีคุณภาพที่ดี
สำหรับแผนการทำตลาดกาแฟดาวในประเทศไทย กลุ่มบริษัทดาวเฮืองจะหันมาทำกิจกรรมการตลาดและสร้างแบรนด์ ดาวคอฟฟี่อย่างจริงจังมากขึ้น ภายหลังจากเริ่มเข้ามาทดลองทำตลาดได้ 5-6 ปี โดยในส่วนของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะใช้งบ 80 ล้านบาทในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อๆ และทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อให้กาแฟดาวคอฟฟี่เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทดาวเฮือง มีการนำผลิตภัณฑ์กาแฟเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย จำนวน 3 กลุ่มสินค้า ประกอบด้วย 1. กาแฟทรีอินวัน เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางลงไปถึงระดับล่าง 2.กาแฟสำเร็จรูป เน้นทำตลาดระดับบน ซึ่งคู่แข่งหลักของตลาดกาแฟดังกล่าว คือ เนสกาแฟ และ 3. ร้านกาแฟ ดาวคอฟฟี่ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนตลาดเดียวกับร้านสตาร์บัคส์
ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟ กลุ่มบริษัทดาวเฮืองมีแผนที่จะขยายสาขาใหม่ปีละ 1 สาขา ภายใต้งบลงทุนสาขาละกว่า 10 ล้านบาท โดยสาขาแรกที่เปิดให้บริการไปแล้ว คือ เดอะ ทรีรูม บายดาว คอฟฟี่ ที่ศูนย์การค้าธัญญา พาร์ค ส่วนอีก 1 สาขา ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ คือ ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน
พร้อมกันนี้ ในอีก 2-3 เดือน มีแผนที่จะนำเข้ากาแฟกระป๋องเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และในอีก 1- 2 ปี บริษัทมีแผนที่จะทำคอนแท็คฟาร์มมิ่งทางภาคเหนือของประเทศไทยจำนวน 1,000 ไร่ เพื่อเพิ่มการผลิตกาแฟ ซึ่งหลังจากเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างจริงจัง คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีรายได้โตจากปี 2556 จาก 20 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เป็น 40 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นภายใน 3-5 ปี คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดกาแฟรวมที่ 1-2% จากมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท
สำหรับเป้าหมายรายได้รวมของกลุ่มบริษัทดาวเฮือง ในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 20% จากปี 2556 ที่มีรายได้ 160 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในมูลค่าดังกล่าวเป็นรายได้จากการส่งออกกว่า 100 ล้านเหรียญ์ดอลลาร์สหรัฐ โดยหลังจากหันมาขยายตลาดส่งออกมากขึ้น คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะมีรายได้จากตลาดต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 20-30%
นางยุวดี วรวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซำ บาย ดี จำกัด ผู้แทนจำหน่าย “ดาวคอฟฟี่” รายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า จากช่องว่างของตลาดกาแฟในประเทศไทยที่ยังมีโอกาสให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก กลุ่มบริษัทดาวเฮืองจึงเล็งเห็นโอกาสในการนำกาแฟดาวคอฟฟี่ เข้ามาทำตลาดกาแฟระดับพรีเมี่ยมในประเทศไทยอย่างจริงจัง เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมในราคาอาเซียน
ในด้านของแผนการทำตลาดในปีนี้ จะเน้นการสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ “ดาวคอฟฟี่” ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาเป็นครั้งแรกของ “ดาวคอฟฟี่” ภายใต้ชื่อ "เอิ้นดาว" ความยาว 30 วินาที พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะทำการตลาดแบบครบวงจร ประกอบด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขาย การจัดกิจกรรม ณ จุดขาย และการจัด Sampling
การออกมาบุกทำกิจกรรมการตลาดอย่างหนักของดาวคอฟฟี่ในประเทศไทยครั้งนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการแบรนด์อินเตอร์ที่เข้ามาทำตลาดกาแฟในประเทศไทยได้มากหรือน้อย คงต้องจับตาดูกันต่อไป หากรสชาติและราคาที่กลุ่มบริษัทดาวเฮืองวางไว้โดนใจผู้บริโภคชาวไทย เชื่อว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ คงร้อนๆ หนาวๆ กันพอสมควร
ข่าวเด่น