"ไทยประกันชีวิต" ส่ง 2 สินค้าใหม่ลุยตลาดกลางปี ชูออมทรัพย์ระยะสั้นผลตอบแทนดี 3.4-3.5% เรียกเบี้ยเข้าพอร์ต พร้อมงัดประกันชีวิตพ่วงสุขภาพ หวังแก้เกมเศรษฐกิจฝืด แรงซื้อเหือดหาย
นายอังกูร ศรีกัลยาณบุตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจะออกสินค้าใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 2 นี้อีก 2 แบบ ซึ่งจะเป็นแบบประกันระยะสั้นจ่ายเบี้ยครั้งเดียว แต่คุ้มครองนาน 5 ปี (5/1) ขายเพียงระยะสั้นเพียง 2 เดือน วงเงินรวมประมาณ 1 พันล้านบาท โดยวางจุดเด่นที่อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยราว 3.4-3.5% เพื่อเป็นทางเลือกการออมเงินในช่วงนี้
ส่วนสินค้าอีกแบบหนึ่งจะเป็นประกันชีวิตที่ออกแบบมาเป็นแพ็คเกจ ทุนประกันชีวิตอาจจะไม่สูงมาก แต่จะเน้นที่ความคุ้มครองสุขภาพเป็นหลัก เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่ส่วนใหญ่ต้องการความคุ้มครองด้านค่ารักษาพยายาล
"ประกันชีวิตและสุขภาพ เป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากได้อยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องสังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตวัยเกษียณ อีกส่วนหนึ่งก็คือต้องการความคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลและชดเชยรายได้ ทั้งกลุ่มที่มีรายได้ประจำแต่ก็ต้องการสวัสดิการรักษาพยาบาลเพิ่ม และกลุ่มที่อาชีพอิสระ ก็ต้องการหลักประกันด้านสุขภาพให้ตัวเอง ฉะนั้น ประกันชีวิตในไทยยังเติบโตได้ แต่ก็ต้องชี้ประโยชน์ให้ลูกค้าเห็นและเข้าใจ"
เขากล่าวยอมรับว่า การทำตลาดในปีนี้ถือว่าค่อนข้างยาก การเติบโตส่วนใหญ่ที่ยังเห็นว่าเบี้ยยังขยายตัวได้ดีนั้น มาจากแบบประกันออมทรัพย์ระยะสั้นเป็นหลัก ขณะที่ประกันชีวิตแบบคุ้มครองถือว่าเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากภาวะค่าครองชีพที่ขยับสูงขึ้น เศรษฐกิจไม่เดินหน้าเพราะงบประมาณยังขยับขับเคลื่อน รวมถึงชาวนาจำนวนมากก็ยังไม่ได้เงินจากโครงการจำนำข้าว กำลังซื้อก็ถือว่าหายไปค่อนข้างมาก
"ไตรมาส 2 น่าจะเจอประเด็นหนักหลายเรื่องที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิต นอกจากปัญหาการเมืองที่มีผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจแล้ว ปกติในช่วงเดือน เม.ย. ซึ่งมีวันหยุดยาว และเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงเปิดเทอม ผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายเยอะ ก็อาจจะเติบโตได้ยากหน่อย"
ส่วนความร่วมมือกับผู้ร่วมทุนรายใหม่ "เมจิ ยาสึดะ" จากญี่ปุ่นนั้น นายอังกูรกล่าวว่า ขณะนี้ได้เริ่มทำแผนงานร่วมกันสำหรับการเข้าไปนำเสนอแบบประกันชีวิตสำหรับพนักงาน (เวิร์คไซต์มาร์เก็ตติ้ง) ของบริษัทญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในประเทศไทย เพราะปกติธุรกิจเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์หรือรู้จักกันกับบริษัทในญี่ปุ่น ก็จะส่งต่อลูกค้าหรือแนะนำ ทำให้บริษัทสามารถเข้าไปนำเสนอแบบประกันได้ง่ายขึ้น
เขากล่าวว่า บริษัทจะใช้จุดแข็งด้านระบบการทำงาน การรับประกัน และคุณภาพการบริการของบริษัทและตัวแทน เป็นจุดขายในการเข้าไปนำเสนอสินค้าด้านประกันชีวิตให้แก่พนักงานในบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย เบื้องต้นได้เริ่มเข้าไปทำตลาดแล้ว แต่คงยังต้องอาศัยเวลาเรียนรู้และค่อยๆ พัฒนาอีกระยะหนึ่ง ขณะนี้จึงยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายเบี้ยที่คาดว่าจะทำได้จากช่องทางนี้แต่อย่างใด
.jpg)
ข่าวเด่น