หุ้นทอง
SCC ขยายลงทุนโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในลาว 10,000 ล้านบาท คาดเพิ่มกำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี




SCC ขยายลงทุนโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในลาว 10,000 ล้านบาท คาดช่วยเพิ่มกำลังการผลิต อีก 1.8 ล้านตันต่อปี หวังเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มแม่น้ำโขง พร้อมกับขยายลงทุนธุรกิจเอสซีจีเปเปอร์เครื่องจักรที่ราชบุรี  1,825 ล้านบาท

 
 
 
นายกานต์  ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทได้เห็นชอบกับโครงการลงทุนใหม่ มูลค่าประมาณ 11,825 ล้านบาท ในธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจกระดาษ การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ของเอสซีจีในการเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน 

เนื่องจากธุรกิจเอสซีจี ซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศลาว มูลค่าการลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี ในแขวงคำม่วน สำหรับรองรับความต้องการปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่โดยรอบของประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-region หรือ GMS) โดยที่ SCC จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในโครงการ และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 ซึ่งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งนี้ถือว่าตั้งอยู่ในแหล่งวัตถุดิบหลักและมีระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากลมร้อนทิ้งขนาด 9 เมกะวัตต์ เพื่อลดต้นทุนพลังงาน นอกจากนี้ด้านตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศลาวซึ่งมีขนาดประมาณ 2.8 ล้านตันในปี 2557 คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 5 ถึง 10 ต่อปี ไปอีก 10 ปีอีกด้วย 
 
ส่วนด้านการลงทุนธุรกิจเอสซีจีเปเปอร์ มูลค่าประมาณ 1,825 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมของสายธุรกิจเยื่่อและกระดาษ (Fibrous Chain) ของเอสซีจี เปเปอร์ ที่จังหวัดราชบุรี ให้สามารถผลิตกระดาษ Glassine กำลังการผลิต 60,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในต้นปี 2559 ซึ่งจะทำให้เอสซีจี เปเปอร์ เป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายแรกในภูมิภาคอาเซียน  กระดาษ Glassine มีความเรียบสูงและโปร่งแสงกว่ากระดาษทั่วไป ใช้เป็นวัสดุรองหลัง (Release liner) สำหรับฉลากสติกเกอร์ (Pressure sensitive label) ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค (Consumer products)
 
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับกระดาษสำหรับงานพิมพ์และเขียนทั่วไปที่มีความต้องการใช้ลดลง คาดว่าความต้องการใช้กระดาษ Glassine ในทวีปเอเชียจะเติบโตร้อยละ 6 ต่อปี ไปอีก 5 ถึง 10 ปี และถือเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Product หรือ HVA)  อย่างไรก็ตามสำหรับโครงการลงทุนดังกล่าวนั้น ไม่เข้าข่ายที่จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ในเรื่องการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์และไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 พ.ค. 2557 เวลา : 00:18:10
23-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 23, 2024, 8:53 pm