เป็นความบังเอิญในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันที่ทั้งวงการฟุตบอลและบาสเกตบอลมีประเด็นเหยียดผิวให้ต้องพูดถึง เริ่มจากกรณีแรก "ดานี อัลเวส" แบ็กจอมบุกของบาร์เซโลนา ถูกแฟนบอลโยนกล้วยใส่ในจังหวะที่กำลังจะเตะมุม ส่วน "โดนัลด์ สเตอร์ลิง" เจ้าของทีมลอสแอนเจลิส คลิปเปอร์ส พูดดูถูกคนผิวสีจนถูกสังคมรุมประณาม
"อัลเวส" โดนเหยียดเชื้อชาติมาตลอด 12 ปีที่ค้าแข้งในสเปน ซึ่งแข้งทีมชาติบราซิลก็ยอมรับว่า คงเป็นเรื่องยากเหมือนกันที่จะให้ปัญหานี้หมดไปจากสเปนได้ เขาจึงได้แต่ทำใจและใช้ความนิ่งเข้าสู้
หากเป็นนักฟุตบอลรายอื่นๆ หากถูกโยนกล้วยลงมาตรงหน้า อาจระเบิดอารมณ์ได้ง่ายๆ แต่อดีตแข้งเซบีญากลับไปหยิบกล้วยใบนั้นมากินหน้าตาเฉย พร้อมกับกล่าวขอบคุณย้อนหลังว่า "นี่คืออาหารให้พลังงานชั้นดี" จนทำให้บาร์เซโลนาบุกชนะบีญาร์เรอัล 3-2
นอกจาก "แกรี ลินิเกอร์" อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษที่กล่าวชมเชย "อัลเวส" ในทวิตเตอร์เป็นคนแรกๆ แล้ว เพื่อนร่วมวงการลูกหนังหลายรายก็จับมือกันถ่ายรูปกินกล้วยต้านเหยียดผิวมันเสียเลย เรียกว่ากลายเป็นกระแสพอๆ กับกังนัมสไตล์ หรือ ฮาร์เลม เชค ก็ว่าได้
สำหรับ "บีญาร์เรอัล" ก็ถือว่าแสดงความรับผิดชอบได้ดีและทันเหตุการณ์ แบนแฟนบอลคนดังกล่าวตลอดชีวิต
ซึ่งจะว่าไปแล้วตัวสโมสรเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร
แต่ในกรณีของ "ลอสแอนเจลิส คลิปเปอร์ส" ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคนที่ก่อปัญหาขึ้นมาก็คือเจ้าของทีม ทำให้เอ็นบีเอตัดสินลงโทษแบนตลอดชีวิตเหมือนกัน ซึ่งก็คือการบีบให้ขายทีมไปด้วยในตัว
กรณีของ "สเตอร์ลิง" แม้แต่ผู้เล่นในทีมของเขายังรับไม่ได้ มีการประท้วงด้วยการใส่ยูนิฟอร์มกลับด้านเพื่อปิดโลโก้และชื่่อทีมเอาไว้ก่อนเกมเพลย์ออฟ รอบแรก นัดที่ 4 ที่พบกับโกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ เรียกว่าเป็นการตบหน้ากันฉาดใหญ่
มนุษย์เราก้าวมาถึงจุดที่สามารถทำอะไรได้ตั้งมากมาย แต่หากยังมีจิตใจที่เหยียบย่ำผู้อื่น ก็ไม่สมควรที่อยู่ร่วมโลกกับผู้อื่นในโลกใบนี้ จะไปสวรรค์หรือนรกอยู่กับชนชั้นเดียวกันน่าจะดีกว่า
ข่าวเด่น