จากแนวโน้มของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนส่งผลให้ตลาดรวมกล้องเริ่มมีอัตราการเติบโตชะลอตัว ประกอบกับช่วงปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนปัจจุบันนี้ ประเทศไทยต้องประสบกับปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้ภาพรวมตลาดกล้องปีนี้ยังคงมีอัตราการเติบโตติดลบต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
ผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจกล้องต้องออกมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการหาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาช่วยเสริมยอดขายกล้องที่ลดลง ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งต้องจัดบ่อยครั้งมากขึ้น เพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้ผู้บริโภคยอมที่จะควักเงินออกจากกระเป๋า หนึ่งในนั้นคือ บริษัท บิ๊กคาเมาร่า
นายชิตชัย เธียรกาญจนวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บิ๊กคาเมร่า จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายกล้องและอุปกรณ์ครบวงจร “บิ๊กคาเมร่า” กล่าวว่า จากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลให้บริษัทต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการทยอยปิดสาขาที่ไม่ทำรายได้ไปจำนวน 10 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในห้างโมเดิร์นเทรด เช่น บิ๊กซีฯ ลาดพร้าว และเทสโก้ โลตัส สุขาภิบาล 3
หลังจากปิดสาขาที่ไม่ทำรายได้ไป บิ๊กคาเมร่าก็เดินหน้าหาทำเลเพื่อเปิดสาขาใหม่ เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป ด้วยการยึดทำเลศูนย์การค้าเซ็นทรัล และห้างสรรพสินค้าโรบินสันเป็นทำเลหลัก ซึ่งในปีนี้มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15 สาขา ภายใต้งบการลงทุนรวม 50 ล้านบาท (รวมสินค้า) ซึ่งจะทำให้สิ้นปีนี้มีสาขารวมทั้งสิ้น 230 สาขา
ขณะที่แผนการทำตลาด บิ๊กคาเมร่า จะเน้นไปที่การทำกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของลูกค้า เพราะปัจจุบันภาพรวมตลาดกล้องยังคงมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดกล้องคอมแพ็ค แต่ในส่วนของตลาดกล้องมิลเลอร์เลส และดี-เอสแอลอาร์ ยังคงมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใช้กล้องที่มีคุณภาพสูงมากขึ้น
นายชิตชัย กล่าวว่า จากแนวโน้มกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 นี้ เชื่อว่าภาพรวมตลาดกล้องครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้น หากเหตุการณ์ทุกอย่างนิ่ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดกล้องในปีนี้มีอัตราการเติบโตในเชิงมูลค่าดีขึ้น เนื่องจากลูกค้าหันมาซื้อกล้องมิลเลอร์เลส และดี-เอสแอลอาร์ มากขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าแนวโน้มอัตราการเติบโตของตลาดกล้องในเชิงมูลค่าจะดีขึ้น แต่หากนำมูลค่าตลาดมาเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท ภาพรวมตลาดกล้องในปีนี้ยังคงมีอัตราการเติบโตติดลบเมื่อเทียบกับปีทีผ่านมา
สำหรับภาพรวมรายได้ของบริษัท บิ๊กคาเมาร่า นายชิตชัยคาดว่า ปีนี้จะยังมีรายได้เติบโตลดลงจากปีที่ผ่านมา เพราะไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโตเพียง 5% ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้พอสมควร เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทต้องปรับเป้าหมายรายได้สิ้นปีนี้ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปี 2556 เล็กน้อย เพราะปีดังกล่าวมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 3,100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะวางเป้าหมายรายได้ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา แต่บริษัท บิ๊กคาเมร่า ก็มีความหวังว่า หลังจากจับมือกับบริษัท Do Many things เปิดตัว MAGBOOK สุดยอดหนังสือคู่มือการถ่ายภาพ จำนวน 4 เล่ม ประกอบด้วย คู่มือการถ่ายภาพ Portraits ,คู่มือการถ่ายภาพ Landscape, คู่มือการถ่ายภาพ Close-up และ 50 Photo Project ที่รวมเทคนิคสำหรับการถ่ายภาพอย่างมืออาชีพด้วยกล้องดิจิตอล อัดแน่นด้วยเนื้อหา พร้อมคำแนะนำเทคนิคการตั้งค่ากล้อง การจัดแสง การตกแต่งภาพ และไอเดียสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้ภาพถ่ายออกมาสมบูรณ์แบบ ลิขสิทธ์จากบริษัท Dennis Publishing ประเทศอังกฤษ น่าจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มลูกค้าที่รักการถ่ายภาพให้เข้ามาซื้อกล้องถ่ายภาพมากขึ้น
หลังจากเปิดตัว MAGBOOK สุดยอดหนังสือคู่มือการถ่ายภาพ จำนวน 4 เล่ม เข้าทำตลาด บิ๊กคาเมาร่าพร้อมที่จะจำหน่ายหนังสือดังกล่าวทันทีที่ร้าน BIG Camera ทุกสาขา และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ ในราคา 230 บาท
ด้าน บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงเดินหน้าตอกย้ำแบรนด์ฟูจิฟิล์มให้แข็งแกร่ง พร้อมกับสร้างภาพลักษณ์ด้วยการยกระดับสู่กล้องระดับพรีเมี่ยมเข้ามาเสริมตลาดระดับกลางและล่าง สินค้าที่เป็นเรือธงของกล้องตระกูล X Series ในปีนี้ เนื่องจากปีนี้เป็นปีสำคัญของฟูจิฟิล์ม เพราะจะครบรอบการดำเนินธุรกิจในปีที่ 80 จากประสบการณ์การทำตลาดที่ยาวนาน ฟูจิฟิล์ม จึงของเปลี่ยนสโลแกนในการดำเนินธุรกิจใหม่เป็น “นวัตกรรมอันทรงคุณค่า ตอกย้ำปรัชญาการทำงาน" เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของสินค้าภายใตแบรนด์ฟูจิ
นายสิทธิเวช เศวตรพัชร์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ผลิตภัณฑ์กล้องดิจิทัล อิมเมจิ้ง บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดกล้องดิจิทัลจากตัวเลขข้อมูลของ GFK บริษัทวิจัยและเก็บข้อมูลทางการตลาด ระบุว่า ปีที่ผ่านมาตลาดรวมกล้องดิจิทัล 774,000 เครื่อง ประกอบด้วยกล้องคอมแพค, กล้องดีเอสแอลอาร์ และกล้องมิลเลอร์เลส เติบโตลดลงทั้งจำนวนเครื่องและเม็ดเงิน ในแง่ยูนิตลดลง 43% มูลค่าลดลง 32% หรือประมาณ 6,700 ล้านบาท และกล้องคอมแพคที่เป็นฐานใหญ่ของตลาดลดลงถึง 44% ในเชิงเม็ดเงิน เป็นตัวฉุดสำคัญที่ทำให้ตลาดโดยรวมติดลบ
ด้าน น.ส.ภาธิณี เลี้ยงหิรัญกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท โอลิมปัส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีส่วนทางการตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องมิลเลอร์เลสเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 30% ของตลาดรวม ซึ่งในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาอันดับผู้นำและรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เริ่มหันมานิยมกล้องแบบมิลเลอร์เลสมากขึ้น เนื่องจากกล้องคอมแพ็กและดีเอสแอลอาร์มีความต้องการลดลงโดยในปีที่ผ่านมาตลาดทั้ง 2 กลุ่ม ได้หดตัวลงกว่า 40% และ 10%
แนวโน้มดังกล่าวถือเป็นอัตราการเติบโตที่ตรงกันข้ามกับกลุ่มกล้องมิลเลอร์เลส ที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยดังกล่าวทำให้ โอลิมปัส หันมาปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ในปีนี้ออกเป็นกลุ่มมิลเลอร์เลส 80% และคอมแพ็ก 20% เพื่อรองรับความนิยมของผู้บริโภค แม้ว่าภาพรวมตลาดในปีที่ผ่านมาจะอยู่ในภาวะทรงตัว จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่เชื่อว่าทิศทางตลาดในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากความมั่นใจในการซื้อเริ่มกลับมา
น.ส.ภาธินี กล่าวอีกว่า ในอดีตผู้บริโภคจะมองว่าแบรนด์โอลิมปัสเป็นผู้จำหน่ายกล้องดีเอสแอลอาร์เป็นหลัก แต่ปัจจุบันด้วยกระแสกล้องมิลเลอร์เลสที่กำลังเป็นที่นิยม ทำให้บริษัทหันไปส่งเสริมผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าวมากขึ้น และไม่กังวลว่าจะกระทบต่อความมั่นใจของลูกค้า เนื่องจากบริษัทได้เตรียมงบประมาณกว่า 150 ล้านบาท เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาด รวมทั้งสร้างความเข้าใจแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับกล้องมิลเลอร์เลสให้มากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็ก พกพาและใช้งานง่าย แต่ยังคงประสิทธิภาพในการถ่ายภาพได้เทียบเท่ากล้องดีเอสแอลอาร์ และยังมีนวัตกรรมการใช้งานใหม่ๆ จะทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากให้ความสนใจ และหันมาเลือกใช้กล้องมิลเลอร์เลสทดแทนกล้องดีเอสแอลอาร์อย่างแน่นอน
สำหรับกลยุทธ์การทำราคากล้องมิลเลอร์เลสของ โอลิมปัส ในครั้งนี้ จะเน้นทำตลาดด้วยราคาตั้งแต่ราว 10,000-80,000 บาท ซึ่งราคาดังกล่าว โฮลิมปัส เชื่อว่าจะสามารถแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ ได้ และถือเป็นราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับกล้องกลุ่มดีเอสแอลอาร์ ส่วนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในการขยายตลาดกล้องมิลเลอร์เลสของ โอลิมปัส ในปีนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ผู้ที่เคยใช้งานสมาร์ทโฟนและกล้องคอมแพ็ก รวมถึงผู้ที่เคยใช้งานกล้องมิลเลอร์เลสมาก่อนทั้งโอลิมปัสและแบรนด์อื่น และผู้ใช้กล้องดีเอสแอลอาร์ โดยบริษัทจะทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มมิลเลอร์เลสและคอมแพ็ก
ล่าสุด โอลิมปัส ได้ออกมาเปิดตัว “กล้องคอมแพ็ค OLYMPUS STYLUS SP-100 EE” คุณสมบัติเหนือกว่าด้วยเลนส์ super high-powered zoom (24 มม -1200 มม2) ออปติคัลซูม 50x และถือได้ว่าเป็นกล้องดิจิตอลรุ่นแรกในโลกที่มาพร้อมกับ built-in dot sight เพื่อให้การถ่ายภาพวัตถุระยะไกลเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ และ “กล้องดิจิตอลคอมแพ็คในซีรี่ส์ OLYMPUS STYLUS Tough TG-850” เข้าทำตลาด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดกล้องของตัวเอง หลังจากขึ้นเป็นผู้นำในตลาดกล้องมิลเลอร์เลส ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด 8%
จากการออกมาปรับตัวของผู้ประกอบการดังกล่าว แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจและการเมืองจะไม่อำนวยต่อการทำตลาดมากนัก แต่ก็น่าจะพอช่วยให้ภาพรวมผลประกอบการของแต่ละบริษัทขยับเพิ่มขึ้นมาได้เป็นที่น่าพอใจ เพราะถึงแม้ว่ากล้องในสมาร์ทโฟนจะมีความคมชัดมากขึ้น แต่หากเปรียบเทียบคุณภาพของกล้องคอมแพ็ค มิลเลอร์เลส และดีเอสแอลอาร์แล้ว ยังถือว่าห่างชั้นกันพอสมควร
ข่าวเด่น