"พฤกษา เรียลเอสเตท" เร่งปั๊มยอดขายบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หลังลูกจ้างในโรงงานนิคมอุตสาหกรรมถูกตัดโอที ส่งผลกำลังซื้อชะงัก เผยแผนเน้นลงทุนโครงการแนวราบ พร้อมเพิ่มน้ำหนักลงทุนต่างจังหวัด หวังดันยอดขายปีนี้ทะลุ 41,000-45,000 ล้านบาท
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยอดการซื้อที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จากกลุ่มลูกค้าที่ทำงานในโรงงานนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เริ่มลดลง เนื่องจากลูกค้าเหล่านี้ถูกตัดการทำงานล่วงเวลา (โอที) จึงไม่มีเงินเพียงพอที่จะมาซื้อบ้าน ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้บริษัทต้องปรับนโยบายการดูแลลูกค้าตั้งแต่เริ่มจะซื้อบ้าน ให้สามารถซื้อบ้านได้ ด้วยการเข้าไปช่วยแก้ปัญหาด้านการเงินให้ ตามโครงการวินแบล็ค ซึ่งที่ผ่านมา ทำให้มีลูกค้าส่วนหนึ่งกลับมาซื้อได้
“ลูกจ้างโรงงานต่าง ๆ เหล่านี้ มีรายได้จากเงินค่าโอทีถึง 20% ของรายได้ทั้งหมดเฉลี่ย 20,000 กว่าบาทต่อเดือน จึงมีกำลังผ่อน แต่เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ถูกตัดโอทีออกไป ก็ทำให้รายได้ไม่เสถียร จึงไม่กล้าตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ในส่วนของยอดลูกค้าที่มาดูโครงการทั้งหมด มีถึง 25% ที่สถาบันการเงินไม่อนุมัติวงเงินกู้ ทำให้บริษัทตั้งทีมงานในการช่วยวางแผนทางการเงินต่าง ๆ จนกลับมากู้เงินได้อีกเฉลี่ย 10%”
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับตัวด้วยการเน้นลงทุนโครงการแนวราบ เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง ทำให้ผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถทำรายได้เติบโตสูงขึ้น โดยแม้สถานการณ์ด้านการเมืองจะไม่เอื้ออำนวยต่อบรรยากาศการตัดสินใจซื้อของลูกค้า กอปรกับมีการพัฒนานวัตกรรมการก่อสร้างที่ทันสมัยเข้ามาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพ และการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ส่งผลให้ Business Cycle Times ของการพัฒนาโครงการแนวราบ ลดลงจากเดิม 146 วันเหลือเพียง 112 วัน ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น ประกอบกับมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น ทำให้สามารถรักษาระดับต้นทุนได้อย่างเหมาะสม จึงทำให้ในไตรมาสที่ 1 มีกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างจังหวัดจากปัจจุบันอยู่ที่ 10% เป็น 20-30% โดยเฉพาะหัวเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวด้วย อาทิ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น นครราชสีมา และเชียงใหม่ เป็นต้น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย และผู้บริโภคมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง
นายทองมา กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ผ่านมานั้นยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้รวม 8,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และมีกำไรสุทธิสูงถึง 1,065 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% ซึ่งรายได้หลักมาจากกลุ่มทาวน์เฮาส์สูงถึง 64% ส่วนบ้านเดี่ยว 24% คอนโดมิเนียม 10% และโครงการในต่างประเทศ 2% ถือว่ายังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ทั้งนี้ในส่วนของยอดขายมี 8,194 ล้านบาท ลดลง 20% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ ที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป แต่เชื่อว่า ในราวไตรมาส 2-3 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวได้
โดยในช่วงไตรมาสแรกเปิดโครงการใหม่แล้ว จำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 14,121 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ 6 โครงการ บ้านเดี่ยว 7 โครงการ และคอนโดมิเนียมอีก 5 โครงการ โดยเฉพาะเดือนมีนาคมสามารถเปิดได้ 11 โครงการ มูลค่า 10,336 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 2 นี้ จะเปิดตัวโครงการใหม่ 12 โครงการ และไตรมาส 3 อีก 4 โครงการ รวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 50 โครงการ
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ( Active Projects) ทั้งหมด 173 โครงการ มูลค่ารวม 66,327 ล้านบาท โดย 80% เป็นโครงการแนวราบ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะมีส่วนผลักดันการขยายตัวของยอดขายในแนวราบ แม้สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะยังคงชะลอและยังไม่สามารถคาดได้ว่าจะยุติลงเมื่อใด แต่บริษัทคงยืนยันเป้ายอดขายปี 2557 ไว้ดังเดิมคือ 41,000 - 45,000 ล้านบาท
นายทองมา กล่าวอีกว่า แม้ว่าที่ผ่านต้นทุนค่าก่อสร้างจะปรับขึ้น แต่บริษัทไม่ได้ปรับเพิ่มราคาบ้านขึ้นไปแต่อย่างใด หรือถ้าจำเป็นต้องปรับราคาขึ้น จะปรับแค่ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 1-2% เท่านั้น ขณะเดียวกันก็เน้นการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนภายในองค์กรให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้ยอดขาย และรายได้ของบริษัทยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ข่าวเด่น