ต้องขอแสดงความยินดีกับ "แมนเชสเตอร์ ซิตี้" ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยที่ 2 ใน 3 ปี และขอชื่นชม ขณะที่ "ลิเวอร์พูล" ที่ได้รองแชมป์ ต้องถือว่าทำอย่างเต็มที่ และไปได้ไกลเกินกว่าที่คาดหมายแล้ว ส่วนทีมอย่าง "อาร์เซนอล" แม้จะพลาดหวังจากพรีเมียร์ลีก ก็ยังมีลุ้นแชมป์ เอฟเอ คัพ ที่จะชิงชนะเลิศกับ ฮัลล์ ซิตี ส่วนแชมป์พรีเมียร์ลีก ก็คงต้องไปลุ้นกันอีกทีในฤดูกาลหน้า
ฟุตบอลลีกฤดูกาล 2013/2014 กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ละทีมมีเวลาอีกประมาณ 3 เดือน ฤดูกาลหน้าจะเริ่มต้นขึ้นใหม่ โดยปีนี้มีฟุตบอลโลกมาคั่นกลาง การเตรียมความพร้อมของทีมที่มีนักเตะไปเตะฟุตบอลโลกมากๆ จะทำได้ยากขึ้นอีก
สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เรื่องเงินไม่มีปัญหา อยู่ที่พวกเขาจะหานักเตะที่ต้องการได้หรือไม่ และสโมสรต้นสังกัดเดิมของนักเตะคนนั้นจะยอมขายให้หรือเปล่า นอกนั้นเป็นการต่อสู้กับสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟา) เกี่ยวกับการทำผิดกฎแฟร์เพลย์ด้านการเงิน (FFP-Financial Fair Play) ซึ่งอาจทำให้พวกเขาส่งชื่อผู้เล่นในการแข่งขันฟุตบอล ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ได้เพียง 21 คน
ส่วน ลิเวอร์พูล ทั้งฝ่ายบริหาร ผู้จัดการทีม นักเตะ และแฟนบอล ดูเหมือนจะมีฤดูกาลที่่น่าตื่นเต้นมากกว่า พวกเขาได้กลับสู่การแข่งขัน ยูฟา แชมเปียนส์ลีก อีกครั้ง หลังห่างเหินมา 4 ปี นอกจากนั้น คือ การมุ่งหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้เป็นครั้งแรก โดยสิ่งที่จะทำให้ภารกิจสำเร็จ ก็คือ
ฟอร์มการเล่นที่ดีไม่น้อยกว่าฤดูกาลที่ผ่านมา
"เบรนแดน รอดเจอร์ส" กุนซือลิเวอร์พูล ได้รับคำยกย่องว่า สร้างทีมขึ้นมาใหม่ได้รวดเร็ว เพียงฤดูกาลที่ 2 ก็พาทีมเกือบจะได้แชมป์ฉิวเฉียดจะสิ้นสุดการรอคอย 24 ปีในการชนะเลิศลีกสูงสุดของประเทศ ปีนี้อดีตนักเตะทีมชาติชุดนักเรียนไอร์แลนด์เหนืออย่างเขามีงานที่ท้าทายรออยู่
ท่ามกลางคู่แข่งที่แข็งแกร่งพร้อมจะแย่งแชมป์กัน 5-6 ทีม เขาต้องแสดงให้เห็นว่าผลงานในฤดูกาลที่ผ่านมาไม่ใช่โชคช่วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
แค่การป้องกันนักเตะตัวหลักไม่ให้โดนทีมเงินถุงเงินถังดูดไปก็ยากแล้ว โดยเฉพาะ "หลุยส์ ซัวเรซ" ที่ เรอัล มาดริด จ้องตาเป็นมัน จากนั้น คือ การหานักเตะใหม่มาเสริม โดยน่าจะได้รับเงินสนับสนุนจากฝ่ายบริหารบ้าง เพื่อซื้อผู้เล่นที่เก่งๆ มาเสริมความแข็งแกร่ง สุดท้ายคือ รับแรงกดดันจากแรงคาดหวังของแฟนบอลที่มีมากยิ่งกว่าฤดูกาลที่ผ่านมา
ข่าวเด่น