ปีนี้ต้องยอมรับว่า เป็นปีที่ท้าทายของธุรกิจการท่องเที่ยว หลังมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบรอบด้าน ทั้งปัญหาการเมืองที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเดินไปทางไหน จะมีรัฐบาลใหม่ได้เมื่อไร เหตุการณ์ ระเบิดในภาคใต้ที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดการเกิดเหตุแผ่นดินไหวในภาคเหนือที่รุนแรงมากที่สุดในรอบเกือบ 100 ปี ซึ่งจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี
นายศุกรีย์ สิทธิวนิช รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2557 อาจลดเหลือเพียง 26.3 ล้านคน หรือลดลง 0.7% จากปี 2556 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 26.7 ล้านคน ถือว่ามีอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 5 ปีนับจากสถานการณ์ปิดสนามบินในปี 2552 หรือลดลง 6.2% จากเป้าหมายปี 2557 ที่ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ที่ 28.04 ล้านคน ขณะที่รายได้ทั้งปีเหลือประมาณ 1.24 ล้านล้านบาท หรือเติบโตเพียง 3% จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5%
การปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติครั้งนี้ เกิดภายใต้สมมติฐานที่ว่า ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน การเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีน และสถานการณ์ระเบิดที่ภาคใต้ ที่กระทบต่อนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซียและ สิงคโปร์
ทั้งนี้ ในมุมมองของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เกี่ยวกับการกระตุ้นการท่องเที่ยว ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา สมาคมค้าปลีกไทยฯ ได้ยื่นข้อเสนอแก่ภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวแต่ละคนให้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยวเหลือ 0% เพราะปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากกว่าครึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศในเอเชีย อาทิ จีน เป็นต้น ซึ่งมีพฤติกรรมชอบการจับจ่ายและช้อปปิ้งสินค้าแฟชั่น/แบรนด์เนม แต่สินค้าหมวดดังกล่าวประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ เนื่องจากเหตุผลทางราคาที่สูงกว่า และความหลากหลายน้อยกว่า
แต่หากรัฐบาลยังไม่มีนโยบายลดภาษีนำเข้า ขณะที่ปัจจุบันประเทศจีนออกกฎหมายว่าด้วยการเดินทางท่องเที่ยวฉบับใหม่ จึงส่งผลให้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวลดลง ภาคเอกชนจึงมองว่า ถึงเวลาแล้วที่เราสามารถช่วยให้รัฐสามารถดึงดูดเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว เพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น อีกทั้งดึงดูดกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อในระดับไฮเอ็น ด้วยการใช้ร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) เป็นตัวขับเคลื่อน
โดยภาครัฐควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ เข้ามาดำเนินธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน เพื่อเปิดแข่งขันเสรีในทุกโลเกชั่นใoประเทศไทย เพื่อรัฐจะสามารถสร้างรายได้มากขึ้น เพราะปัจจุบันมีหลายกลุ่มทุนที่สนใจขยายธุรกิจด้านร้านค้าปลอดอากร อาทิ บริษัทล๊อตเต้ (Lotte) ผู้นำธุรกิจดิวตี้ฟรีอันดับหนึ่งในประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยญชาญด้านการบริหารงานร้านค้าปลอดภาษีในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้มีการเปิดร้านปลอดอากรขาออกในเมือง (Duty Free Shop) ภายในประเทศ โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวให้มากขึ้น และควรปรับปรุงระเบียบขั้นตอนปฎิบัติของกรมศุลกากรให้เอื้ออำนวยต่อการเปิดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาออกในเมือง (Duty Free Shop) โดยมีวิธีปฎิบัติการของร้านค้าปลอดอากรที่มีรูปธรรมที่ชัดเจน
ข่าวเด่น