หลังจาก บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด ได้ออกมาประกาศว่า จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในช่วงเดือน ต.ค-พ.ค.2557 ด้วยการแต่งตั้งให้ บล.กสิกรไทย และ บล.ซีไอเอ็มบีไทย เป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจในอนาคต และชำระหนี้ต่อสถาบันการเงิน
ปัจจุบัน บริษัท คาราบาว กรุ๊ป มีทุนจดทะเบียนบริษัทอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจากแผนการดำเนินงานดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท คาราบาว กรุ๊ป มีแผนที่จะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 250 ล้านหุ้น ให้แก่นักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด เพื่อระดมทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท ขยายกิจการและกำลังการผลิต จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตเครื่องดื่มชูกำลังอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านขวด/ปี
ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว บริษัท คาราบาว กรุ๊ป มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมาเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง และเครื่องดื่มเกลือแร่ สตาร์ท พลัส ซิงค์ ได้ผลการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะเครื่องดื่ม สตาร์ พลัส ซิงค์ แม้ว่าจะยังไม่มีการทำตลาดอย่างจริงจัง
นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มเกลือแร่ สตาร์ พลัส ซิงค์ นับจากนี้บริษัทจะหันมากิจกรรมทางการตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งในส่วนของกลยุทธ์การทำตลาด บริษัทได้วางตำแหน่งสินค้าเพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคที่เสียเหงื่อเป็นประจำ เพราะเวลาที่เสียเหงื่อ ร่างกายไม่เพียงแต่เสียน้ำและเกลือแร่เท่านั้น แต่ยังเสีย Zinc หรือสังกะสี ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการประจำ
ดังนั้น บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จึงได้วางตำแหน่งทางการตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ “สตาร์ท พลัส ซิงค์” เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ทำงานกลางแดด นักกีฬา และกลุ่มคนที่ออกกำลังกาย ซึ่งจากจุดเด่นของเครื่องดื่มเกลือแร่ สตาร์ท พลัส ซิงค์ ที่มีรสชาติอร่อย กลมกล่อม แบบธรรมชาติ ดื่มแล้ว สดชื่น หายเหนื่อย ดับกระหาย คลายร้อน บริษัท คาราบางกรุ๊ป มั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
นอกจากนี้ เพื่อให้เครื่องดื่มเกลือแร่ สตาร์ พลัส ซิงค์ เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้เร็วขึ้น บริษัท คาราบาว กรุ๊ป ได้มีการทำกิจกรรมทางการตลาดแจกสินค้าชิมฟรี 1 ล้านขวด ในช่วงเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน 1-2 เดือนนี้ หลังจากสามารถนำเครื่องดื่มเกลือแร่ สตาร์ท พลัส ซิงค์ ขนาด 250 มิลลิลิตร ราคา 10 บาท เข้าจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น และร้านค้าปลีกทั่วไปได้เกือบครอบคลุมทุกทั่วประเทศ
นายกมลดิษฐ กล่าวต่อว่า หลังจากบริษัทออกมาทำการตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ สตาร์ท พลัง ซิงค์ เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างความเต้นให้กับตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ได้พอสมควร เนื่องจากมีผู้เล่นในตลาดเพิ่มมากขึ้น จึงน่าจะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่กลับมาเติบโตได้ 2 หลักอีกครั้ง หากไม่มีสถานการณ์เลวร้ายทางด้านเศรษฐกิจละการเมืองเกิดขึ้น
สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ในปี 2556 ที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากเปิดตัว สตาร์ท พลัส ซิงค์ เข้ามาทำตลาด บริษัท คาราบาวกรุ๊ป คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดในปีแรกไม่ต่ำกว่า 10% ของตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ และมียอดขาย 5 ล้านขวดต่อเดือนหรือประมาณ 40 ล้านขวดภายในปี 2557
ส่วนภาพรวมรายได้ของบริษัท คาราบาวกรุ๊ป ในสิ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่รายได้อยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าจะมีผลกำไรอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 600 ล้านบาท เนื่องจากเครื่องดื่มชูกำลังคาราวบาวแดงมียอดขายที่ดีต่อเนื่อง และมีเครื่องดื่มเกลือแร่ สตาร์ท พลัส ซิงค์ มาช่วยเสริมทัพในด้านของยอดขาย
ขณะที่บริษัท คาราบาวกรุ๊ป กำลังเดินหน้าทำกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ สตาร์ พลัส ซิงค์ เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่ง ในส่วนของเจ้าตลาดและผู้เล่นรายอื่นๆเองก็ยังคงออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ สปอนเซอร์ พลัส ของกลุ่มกระทิงแดง ภายหลังจากออกมาปรับบรรจุภัณฑ์กระป๋องใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นทรงสูงเพรียว เรียกว่า สลีกแคน (Sleek Can) ขนาด 325 ซีซี ราคา 12 บาท ซึ่งเป็นราคาเดียวกับกระป๋องแบบเดิมรูปทรงอ้วนเตี้ยที่จะทยอยนำออกจากตลาด ในปีนี้ก็ยังคงออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ด้วยการเข้าเป็นผู้สนับสนุนทีมฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกมากกว่า 50% ของจำนวนทีมทั้งหมด หลังจากปีที่ผ่านมาได้เข้าไปร่วมสนับสนุนการขี่จักรยานด้วย ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจ
ด้านแบรนด์ “ซันโว” บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ก็ยังคงออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องเช่นกัน หลังจากปีที่ผ่านมาได้ส่งนักมวยชื่อดังอย่างบัวขาวมาช่วยสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้ารสชาติใหม่เข้ามาทำตลาดจากปัจจุบัน ซันโว มีสินค้าทำตลาดอยู่ 2 รสชาติ คือ รสมิกซ์ฟรุต (สีเหลือง) และรสมิกซ์เบอร์รี (สีแดง) ในขวดแก้วขนาด 250 มิลลิลิตร ราคาขวดละ 10 บาท ซึ่งในส่วนของแผนการทำตลาดในปี 2557 นี้ บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น มีแผนจะใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ในการเดินหน้าสร้างแบรนด์ ซันโว ให้เป็นที่รู้จักอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางจำหน่ายและการกระจายสินค้าให้มากขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีแรก 2556-2558) ถือเป็นช่วงของการสร้างแบรนด์ ต้องใช้งบไม่ต่ำกว่า 200-300 ล้านบาท แต่หลังจากเปิดตัวสินค้าเข้าทำตลาดในปีแรก ซันโวมียอดขายอยู่ที่กว่า 400 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 10% เป็นอันดับ 3 ของตลาด ถือว่าเป็นตัวเลขตามเป้าหมายที่วางไว้ จากปัจจุบันมีผู้นำตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่เป็นสปอนเซอร์ที่มีแชร์อยู่ 70% ตามด้วย เอ็มสปอร์ต มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 12-15%
จากการแข่งขันที่เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นในตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ คาดว่าผู้เล่นอีก 2-3 รายไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ เอ็มสปอร์ต ของบริษัท โอสถสภา แบรนด์เพาเวอร์ พลัส ของบริษัท เสริมสุข หรือแบรนด์"รอแยล-ดี" ของ บริษัท เครื่องดื่มซินเนอร์จี้ ซึ่งแต่ละแบรนด์ยังคงซุ่มทำการตลาดแบบเงียบๆ น่าจะออกมาเปิดกลยุทธ์ในการทำตลาด เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดในตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ 6,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน
การรุกหนักของผู้เล่นหน้าใหม่ในครั้งนี้ ผู้เล่นรายเก่าทั้งเบอร์ 1 และเบอร์รอง ต้องออกมาป้องกันส่วนแบ่งการตลาดของตัวเองอย่างแน่นอน เพราะหากปล่อยให้ผู้เล่นหน้าใหม่ชิงส่วนแบ่งการตลาดไปง่ายๆ การที่จะดึงส่วนแบ่งการตลาดให้กลับมาเหมือนเดิมก็จะยากขึ้น เนื่องจากผู้เล่นในตลาดมีจำนวนมากกว่าเดิม
แม้ว่าขณะนี้สภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองจะไม่เอื้อต่อการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายมากนัก แต่หากไม่ออกมาทำอะไรเลย แบรนด์ที่เคยเป็นที่รู้จักและอยู่ในใจของผู้บริโภคก็จะเริ่มเลื่อนหายไปจากความทรงจำ เพราะนอกจากผู้เล่นในตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่จะมีมากขึ้นแล้ว ในด้านของเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่นับวันจะมีแบรนด์สินค้าและมีสินค้ารสชาติใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มมีความสับสนในด้านของแบรนด์สินค้า
แต่ไม่ว่าการแข่งขันจะรุนแรงอย่างไร รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองจะไม่เอื้อต่อการทำการตลาด แต่หากผู้ประกอบการในตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่มีการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่โดนใจ และตรงกับความต้องการของผู้บริโภค การที่จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคยอมควักเงินออกจากกระเป๋า เพื่อซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ของตัวเองมารับประทานก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ยากเกินไป เพราะทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่หรือหน้าเก่า เพียงแต่ต้องทำการตลาดที่ถูกต้อง ต รงกับความต้องการของผู้บริโภคเท่านั้น
ข่าวเด่น