หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาประกาศโรดแมปเดินหน้า 7 โครงการเร่งด่วน ประกอบด้วย 1. โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2557 โดยให้พิจารณาอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับเกษตรกรที่ 69.97-410.39 บาทต่อไร่ เป้าหมายเบี้ยประกัน 1.5 ล้านไร่ ส่วนโครงการรับจำนำข้าวจะเดินหน้าต่อหรือไม่ ที่ประชุมยังไม่มีการหารือ 2. โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประเทศ ด้านไฟฟ้า รถไฟ และถนน วงเงินรวม 63,096 ล้านบาท 3. พัฒนาเศรษฐกิจชายแดน ทั้งไทย-มาเลเซีย ไทย-ลาว ไทย-พม่า ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
4. ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และโอทอป 5.โครงการที่อยู่อาศัย โดยให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ลูกค้าชั้นดีของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธ.อ.ส.) วงเงินไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก 4.125% 6. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ และ 7.ปฏิรูประบบภาษี โดยเบื้องต้นให้คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% ต่อไปอีก 1 ปี ขณะที่การปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้นักธุรกิจไทยและต่างชาติมีความมั่นใจในการลงทุนขยายธุรกิจมากขึ้น
สัญญาณที่ดีดังกล่าว ทำให้เหล่าบรรดานักธุรกิจไทยและต่างชาติมั่นใจว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคของไทยอย่างเครือสหพัฒน์ ที่ออกมาแสดงความมั่นใจกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยและการทำงานของ คสช. เพราะทุกโครงการที่ประกาศออกมาล้วนเป็นโครงการเร่งด่วนที่ควรเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากคสช.ได้ออกมาประกาศแผนการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ (โรดแมป) ซึ่งการออกมาประกาศแผนดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่ดีและควรเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะเป็นโครงการที่รอช้าไม่ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศไทยตกเหวมาเป็นระยะเวลานาน จึงควรเร่งสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับพ่อค้าหรือนักธุรกิจให้มีกำลังใจกับการดำเนินธุรกิจ
ในส่วนของทีมที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจที่คสช. ประกาศแต่งตั้งขึ้นมาดูแลงานในด้านต่างๆ นั้น นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ตามรายชื่อที่ปรากฏบุคคลต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายงานส่วนใหญ่มีความชำนาญทางด้านเศรษฐกิจและเป็นที่รู้จักของนักธุรกิจ พ่อค้า ซึ่งหลังจากเข้ามาดำเนินงาน เชื่อว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง หากทุปอย่างประสบความสำเร็จไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่าจะสามารถนำโมเดลดังกล่าว เป็นต้นแบบให้กับต่างประเทศได้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องคำนึงถึงและเร่งดำเนินการในช่วงแรก คือ การทำให้ภาคการส่งออกมีความแข็งแรง ด้วยการออกมาควบคุมค่าเงินให้เหมาะกับการส่งออก แม้ว่าขณะนี้เงินบาทของไทยจะอยู่ในภาวะอ่อนค่า แต่หากปรับให้อยู่ในระดับ 33.5-34 บาท น่าจะส่งผลให้ภาคการส่งออกทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะภาคการส่งออกเป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย หากภาคการส่งออกสดใส อาจทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทย (จีดีพี)ในปีนี้ พลิกกลับมาเติบโตอยู่ในระดับ 3%ได้
สำหรับโครงการที่คสช. ควรเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว คือ โครงการรับจำนำข้าว เพราะในช่วงที่ผ่านมาชาวนาไม่มีเงินทำให้กำลังซื้อไม่ดี ส่งผลทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจแย่ตามไปด้วย ดังนั้น คสช. ควรใส่เกียร์อย่างเต็มกำลัง เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนออกมาลงทุน หลังจากปีที่ผ่านมาดำเนินธุรกิจด้วยด้วยเกียร์สโลว์มาโดยตลอด แม้ว่าปีนี้จะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันก็มีการแตะเบรกไปบ้าง เพื่อรอดูความชัดเจนของการเมือง
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า แผนธุรกิจของเครือสหพัฒน์ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะมีการเจรจาร่วมทุนธุรกิจ 10 ราย ใน 3 กลุ่มธุรกิจ คือ ธุรกิจอาหาร บริการ และระบบขนส่งสินค้า คาดว่าภายในปี 2558 น่าจะได้ข้อสรุปของการร่วมทุนในธุรกิจดังกล่าว ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรใหม่ให้กับ บริษัท เอราวัณสิ่งทอ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการระดมทุน
ด้านราคาสินค้าในตอนนี้ ยังไม่มีแผนที่จะปรับเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากทางเครือสหพัฒน์ใช้วิธีการลดตุ้นทุนในบริษัทต่างๆ เช่น การลดต้นทุนด้านการบรรจุภัณฑ์ จึงทำให้บริษัทในเครือสหพัฒน์ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นน้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่เริ่มได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้น
สำหรับภาพรวมผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมา เครือสหพัฒน์ติดลบ โดยที่มียอดขายลดลงมากที่สุด คือ บริษัทไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องจากในช่วง 2 เดือนแรกมีรายได้ติดลบสูงถึง 20% เพราะเป็นธุรกิจที่เน้นจำหน่ายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น สินค้าแฟชั่นประเภทต่างๆ อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เครือสหพัฒน์มั่นใจว่า ภาพรวมรายได้สิ้นปีนี้จะกลับมาเติบโตได้ที่ 5% หรือมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท
ปัจจัยที่ทำให้เครือสหพัฒน์มั่นใจว่า สิ้นปีจะมีรายได้เติบโตเป็นบวกที่ 5% ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่บริษัทในเครือจะออกมาเปิดตัวสินค้าใหม่ และทำกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้น ขณะเดียวกันในช่วงปลายเดือน มิ.ย.ก็จะมีการจัดงานใหญ่ “สหกรุ๊ปแฟร์” ซึ่งเป็นงานประจำปีของเครือสหพัฒน์ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางเครือสหพัฒน์จะร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 18” ภายใต้แนวคิด An Honest World ระหว่างวันที่ 26-29 มิ.ย.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อหวังปลุกกำลังซื้อ และกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การจัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 18” ในปีนี้ จะมีสินค้าภายในเครือสหพัฒน์มาร่วมแสดงและจำหน่ายในราคาพิเศษกว่า 1,000 คูหา ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร เครื่องสำอาง เสื้อผ้า และรองเท้า ซึ่งหลังจากจบการจัดงานจำนวน 4 วัน คาดว่าจะทำยอดรายได้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้ทั้งเครือสหพัฒน์ยังไม่มีนโยบายที่จะปรับราคาสินค้าขึ้น แม้ต้นทุนการผลิตอื่นๆ จะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เครือสหพัฒน์ ยังมีแผนจะนำ โครงการ ไทยแลนด์ เบสท์ มารณรงค์อีกครั้งในงานสหกรุ๊ปแฟร์ โดยในส่วนของโครงการดังกล่าวได้มีการจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2540 มีวัตถุประสงค์เพื่อประคับประคองให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ ด้วยการปลูกจิตสำนึกให้คนไทยหันมาใช้สินค้าที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย โดยติดสัญลักษณ์ไทยแลนด์ เบสท์ ที่สินค้าที่ผ่านการคัดเลือกว่าเป็นเป็นสินค้าไทยที่มีคุณภาพมาตรฐาน
ขณะเดียวกัน ภายในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ยังได้รับความร่วมมือจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการเชิญทูตพาณิชย์จากประเทศต่างๆ มาร่วมงาน รวมทั้งประชาสัมพันธ์การจัดงานไปยังผู้ซื้อต่างประเทศผ่านทูตพาณิชย์ ขณะที่หอกาค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ให้การสนับสนุนการจัดงาน ด้วยการเชิญบริษัทสมาชิกมาร่วมงาน เพื่อเปิดโอกาสในการเจรจาการค้าต่อยอดธุรกิจร่วมกับเครือสหพัฒน์
นายบุญเกียรติ กล่าวต่อว่า จากการออกมาประกาศโรดแมปกระตุ้นเศรษฐกิจของ คสช. เชื่อว่าจะส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนในช่วงครึ่งปีหลังกลับมา จากช่วงครึ่งปีแรกยอดขายเครือสหพัฒน์มีอัตราการเติบโตติดลบไม่ถึง 10% ในส่วนของบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล ช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. มีรายได้ติดลบ 20% แต่หลังจากเข้าสู่เดือนพ.ค.-มิ.ย.57 เริ่มมียอดขายดีขึ้น ด้วยการมีรายได้เติบโต ติดลบลดลงเหลือ 10% จึงทำให้มั่นใจว่าช่วงครึ่งหลังของปียอดขายน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ทำให้ทั้งปียอดขายจะใกล้เคียงกับปีก่อนตามกำลังซื้อของประชาชนที่จะกลับมาจับจ่ายเพิ่มขึ้น
การออกมาเร่งทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ ของเครือสหพัฒน์ น่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคยอมออกมาควักเงินออกจากกระเป๋าได้พอควร ส่วนจะคึกคักมากหรือน้อย คงขึ้นอยู่กับสินค้าและราคาที่เครือสหพัฒน์จะขนมากระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค
ข่าวเด่น