"สถานเสริมความงาม"เจอศึกหนักตลาดซบ-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน หันซื้อโปรแกรมความงามราคาถูกลง เน้นแบ่งจ่ายมากขึ้น เร่งปรับกลยุทธ์หนีตาย ปิดสาขาไม่ทำเงิน เข็นแคมเปญใหม่ล่อใจ โฟกัสกลุ่มเป้าหมายใหม่"ผู้ชายรักความงาม" พร้อมดึง"ซุปตาร์"เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์คนใหม่ ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์
นางขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน กรรมการผู้จัดการ รมย์รวินท์ คลินิก กล่าวว่า บริษัทได้ทุ่มงบ 70 ล้านบาท ในการทำการรีเฟรชแบรนด์ เพื่อให้แบรนด์มีความทันสมัยมากขึ้น หลังจากเปิดตัวคลินิกรมย์รวินท์มา 10 ปี ด้วยการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ เพื่อสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้โดดเด่น และสร้างการจดจำได้มากขึ้น การเพิ่มเครื่องมือแพทย์ใหม่ ๆ สำหรับการรักษาที่ให้ผลลัพธ์ดีขึ้น เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดของคลินิกความงามระดับพรีเมี่ยม
นอกจากนี้ คลินิกรมย์รวินท์ ยังมีแผนที่จะพัฒนาสินค้าในกลุ่มสกินแคร์เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้น หลังจากที่บริษัทได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว รูปแบบเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ ในปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้ากลุ่มเมกอัพ เพื่อเข้ามาเสริมโปรดักส์ไลน์ในกลุ่มปัจจุบันให้มีความครบครันมากยิ่งขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ คลินิกรมย์รวินท์ ยังมีแผนที่จัดแคมเปญ "รมย์รวินท์ ไอ แอม บิวตี้" โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้หญิงวัยเริ่มต้นทำงานเป็นต้นไปที่ใส่ใจการดูแลสุขภาพผิว โดยจะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์แบบครบวงจร พร้อมกับการเปิดตัวแอมบาสเดอร์คนแรกของบริษัท หรือ "พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์" ที่จะมาช่วยสร้างการจดจำแบรนด์ผ่านสื่อต่าง ๆ ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่เริ่มออกอากาศแล้วทางฟรีทีวีทุกช่อง
ในด้านของ กลุ่มลูกค้าหลัก คลินิกรมย์รวินท์ จะเน้นเจาะไปที่กลุ่มเป้าหมายอายุระหว่าง 25 - 50 ปี เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับบนเป็นหลัก ซึ่งหลังจากปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าใหม่ ปัจจุบันมีกลุ่มลุกค้าเป็นผู้หญิงคิดเป็นอัตราส่วน 80% ของกลุมลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นกลุ่มลูกค้าผู้ชาย ซึ่งถึงแม้ว่ากลุ่มลูกค้าผู้ชายจะน้อย แต่จากแนวโน้มที่ผู้ชายหันมาดูแลรูปร่างของตัวเองมากขึ้น คาดว่าในอนาคตกลุ่มลูกค้าผู้ชายน่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ
ปัจจุบันภาพรวมของธุรกิจคลินิกความงามมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท มีการเติบโตอยู่ที่ 10-15% ต่อปี และมีการแข่งขันสูง เนื่องจากมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการเมืองมีความวุ่นวาย ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจคลินิกความงามมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวตามไปด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าภาพรวมตลาดจะชะลอตัว แต่คลินิกรมย์รวินท์ยังคงวางเป้าหมายรายได้สิ้นปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 25% และเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2-3 สาขา
อีกหนึ่งคลินิกความที่ออกมาประกาศปรับกลยุทธ์ เพื่อฝ่าวิกฤติปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง คือ สปาชา บิวตี้ แอนด์ สลิม ด้วยการมุ่งสร้างความแข็งแกร่งในด้านของการพัฒนาบุคลากร การนำเสนอโปรแกรม และบริการใหม่ๆ เพื่อปิดจุดบอดที่มีอยู่ ขณะเดียวกันก็ต้องมองหาช่องทางขยายธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงของธุรกิจ สปาชา บิวตี้ แอนด์ สลิม ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 40 สาขา
นายศานติ ประนิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท สปาชา บิวตี้ แอนด์ สลิม จำกัด กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นความเสี่ยงในการดำนินธุรกิจทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจสถาบันดูแลรูปร่างและลดน้ำหนัก พบว่า ขณะนี้หลายแบรนด์ได้ลดจำนวนสาขาลงไปบ้างแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการหมดสัญญาเช่าพื้นที่ และได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการเมือง
จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ โดยในช่วงที่การเมืองมีความรุนแรง ผู้บริโภคจะมีการปรับพฤติกรรมหันมาใช้บริการลดลง ขณะเดียวกันยังพบว่าการใช้จ่ายในการดูแลรูปร่างของตัวเองเพื่อซื้อบริการในโปรแกรมต่างๆ ในราคาที่ถูกลง หรือซื้อซ้ำในราคาต่ำกว่าเดิม และเน้นแบ่งจ่ายมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยในสินค้าฟุ่มเฟือยและไม่มีความจำเป็น
ปัจจุบัน สปาชา บิวตี้ แอนด์ สลิม ถือเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับความนิยมติด 1 ใน 3 ของธุรกิจสถาบันลดน้ำหนัก แต่จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจต้องมีความหันมาระมัดระวังมากขึ้น และต้องคิดให้มากขึ้นเมื่อต้องการลงทุนขยายธุรกิจ ซึ่งจากเดิม สปาชา บิวตี้ แอนด์ สลิม มีแผนเปิดสาขาใหม่ตามจำนวนห้างค้าปลีกที่จะเปิดให้บริการใหม่ แต่หลังจากมีปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้ต้องปรับแผนหันมาขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 2-3 สาขาเท่านั้น คือ เซ็นทรัล ศาลายา และเซ็นทรัล เวสต์เกต ซึ่งแต่ละสาขาคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท
ในด้านของแผนการทำตลาดปีนี้ สปาชา บิวตี้ แอนด์ สลิม มีแผนที่จะใช้งบประมาณ 70 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 5% เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้นตามจำนวนสาขาใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีการนำเสนอโปรแกรม Slim Shortcut โดยได้ “เบนซ์-พรชิตา” เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ เจาะกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการมีรูปร่างที่ดีแต่ไม่มีเวลา ด้วยราคาโปรแกรมที่ 15,000 บาท 11 ทรีตเมนต์ ต่ำกว่าโปรแกรมปกติถึง 50% เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ต่อเดือนอีก 10% จากช่วงปกติ หรือทั้งปีน่าจะทำให้บริษัทมีรายได้ที่ 800 ล้านบาทเท่าปีก่อน
ด้าน น.ส. สิเรียม ภักดีดำรงค์ฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ไบโอคอส กรุ๊ป จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพและความงามระดับชั้นนำ เช่น ไบโอคอสโปรเฟสชั่นแนล, อาเมทิส, บิวตี้ สตอรี่ และ สลิมมิ่งพลัส กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ สลิมมิ่งพลัส เปิดให้บริการมา 7 ปี พบว่าประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในฐานะสถาบันดูแลรูปร่างและผิวพรรณครบวงจรเป็นอย่างดี โดยตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 15-20% มีจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการมากกว่า 10,000 รายต่อปี
จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นดังกล่าว สลิมมิ่งพลัส จึงได้เปิดตัวแคมเปญ “สวย หุ่นดี เพอร์เฟค สะกิดใจ...ใช่เลย” ประเดิมด้วยแพคเก็จโปรโมชั่น “7 ซิกเนเจอร์ มิราเคิล โปรแกรม สวยครบสูตร เพอร์เฟค สะกิดใจ สไตล์ ซุปเปอร์สตาร์” พร้อมกับเปิดตัว “ป๋อ ณัฐวุฒิ” และ"เอ๋ พรทิพย์" สะกิดใจ เป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ล่าสุด เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและรูปร่าง รวมถึงขยายฐานลูกค้ากลุ่ม “ผู้ชาย” หรือ “เมโทรเซ็กส์ชวล” ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
สำหรับกลยุทธ์หลักที่ สลิมมิ่งพลัส จะนำมาสร้างความสำเร็จให้แก่แบรนด์ในปีนี้ คือ การสร้างคุณภาพของการบริการด้านความงามต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยที่สูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยกิจกรรม Workshop ความสวยกับกูรูด้านความงามจากวงการต่างๆ รวมทั้งเหล่าทูตความงามของสลิมมิ่งพลัส ทั้ง 7 ท่าน ตลอดปี 2557 ที่จะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง สร้างการรับรู้แบรนด์ และขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น
น.ส.สิเรียม กล่าวว่า การหันมารุกทำตลาดอย่างจริงจังในปีนี้ บริษัทได้เตรียมงบส่งเสริมการตลาดไว้ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อทำการตลาดโดยใช้ Content มุ่งขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มผู้ชาย เมโทรเซ็กส์ชวล ให้เพิ่มมากขึ้น และการที่ใช้ “ป๋อ ณัฐวุฒิ” และ “เอ๋ พรทิพย์” มารับหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพราะทั้ง 2 คนเป็นดาราที่มีความสามารถ ประกอบกับปัจจุบันทั้ง 2 คน ถือเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดและการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความมั่นใจในความคิด และประสบความสำเร็จ ทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ปัจจุบัน สลิมมิ่งพลัส มีจำนวนสาขาเปิดให้บริการที่ 23 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็นใน กรุงเทพฯ จำนวน 19 สาขา และต่างจังหวัด 4 สาขา โดยหลังจากออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท จากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังธุรกิจสุขภาพและความงามน่าจะมีความคึกคักมากขึ้น.
ข่าวเด่น