เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้รับเรื่องร้องเรียนจากสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เรื่องการถูกทวงหนี้ ทั้งๆ ที่ปิดบัญชีแล้ว โดยทางสุภาพสตรีท่านนี้ได้ไปเช็คเครดิตบูโรเมื่อต้นปี 2557 เพื่อตรวจสอบสถานะบัญชีของตนเองกับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เนื่องจากได้ทำการปิดบัญชีไปเมื่อปลายปี 2556 ซึ่งสถานะบัญชีก็ได้แสดงสถานะเป็นปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากนั้น มีบริษัทรับทวงหนี้แห่งหนึ่ง แจ้งมาทางสุภาพสตรีท่านนี้ว่า ยังมียอดหนี้คงค้างอยู่อีก 17,000 บาท แต่สามารถให้ส่วนลดได้ ผมขออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นดังนี้ครับ
การที่คุณสุภาพสตรีท่านนี้นำเงินไปชำระหนี้ปิดบัญชีกับทางสถาบันการเงินดังกล่าว สถาบันการเงินจะส่งข้อมูลเข้ามาที่เครดิตบูโร เนื่องจากเป็นสมาชิกของเครดิตบูโร และรายงานเครดิตบูโร ก็จะแสดงข้อมูลว่าปิดบัญชีและไม่ค้างชำระหนี้ ภาระหนี้เป็น 0 (ศูนย์) บาทตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และข้อมูลในบัญชีนี้จะยังคงแสดงข้อมูลการปิดบัญชีนี้อยู่อีกไม่เกิน 3 ปี จากวันที่ปิดบัญชี ดังนั้น เมื่อครบ 3 ปีแล้ว ข้อมูลบัญชีที่มีอยู่กับสถาบันการเงินแห่งนี้ ก็จะถูกลบออกไปทั้งบัญชี ตามที่กฎหมายกำหนด
สำหรับกรณีที่ได้รับการทวงหนี้จากบริษัทรับทวงหนี้นั้น ผมแนะนำให้ตรวจสอบไปยังบริษัทรับทวงหนี้ดังนี้ครับ
1. หนี้จำนวน 17,000 บาท เป็นหนี้ที่เกิดจากอะไร และเป็นหนี้ที่เกิดกับสถาบันการเงินที่เราไปปิดบัญชีใช่หรือไม่
2. หากได้รับแจ้งว่าเป็นหนี้ของสถาบันการเงินที่เราไปปิดบัญชี ให้ขอดูเลขที่สัญญาจากบริษัทรับทวงหนี้ว่าเป็นเลขที่สัญญาเดียวกันกับเลขที่บัญชีของสถาบันการเงินที่เราไปปิดบัญชี ในรายงานข้อมูลเครดิตที่มาตรวจสอบหรือไม่ และควรตรวจสอบความเป็นจริงกับสถาบันการเงินที่เราไปปิดบัญชี ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวอ้าง
3. หากเรื่องตามข้อ 2เป็นเลขที่สัญญาเดียวกันแล้ว เราควรแสดงหลักฐานการชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือหนังสือรับรองการชำระหนี้เสร็จสิ้นต่อบริษัทรับทวงหนี้ ว่าได้ชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงินแห่งนั้นครบถ้วนแล้ว และควรพิจารณาการดำเนินการทางกฎหมายตามที่เห็นสมควรเพื่อเป็นการรักษาสิทธิของตนเอง
หากเราทำถูกต้องตามขั้นตอน และสุจริต ไม่ต้องกลัวนะครับ เรามีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบความถูกต้องครับ
สุรพล โอภาสเสถียร
ผู้จัดการใหญ่
บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด
ข่าวเด่น