ศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ กำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 12 มิถุนายนถึง 13 กรกฎาคมนี้ ซึ่งในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มมีเกมบิ๊กแมตช์ที่น่าสนใจอยู่หลายคู่ อาทิ สเปนที่จะพบกับฮอลแลนด์ อังกฤษดวลกับอิตาลี บราซิลปะทะเม็กซิโก และเยอรมนีพบกับโปรตุเกส เป็นต้น
สเปน – ฮอลแลนด์
วันที่ 13 มิถุนายน 2557
สนาม อารีนา ฟอนเต โนวา, ซัลวาดอร์
สเปน แชมป์เก่าฟุตบอลโลกและแชมป์ฟุตบอลยุโรป 2 สมัยซ้อน อยู่ในกลุ่ม บี ร่วมสายกับฮอลแลนด์ ชิลีและออสเตรเลีย การพบกับทีมชาติฮอลแลนด์ รองแชมป์เก่าในรอบแบ่งกลุ่มนี้ จึงกลายเป็นบิ๊กแมตช์และการรีแมตช์นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งสเปนเฉือนชนะไป 1-0 ด้วยประตูชัยจากอันเดรส อิเนียสตาในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ในรอบคัดเลือกศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทั้งสเปนและฮอลแลนด์ผ่านเข้ารอบมาด้วยการไม่แพ้ใครเลย โดยสเปนชนะ 6 นัดจากการลงเล่น 8 นัด และฮอลแลนด์ชนะ 9 นัดจากการลงเล่น 10 นัด เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มด้วยกันทั้งคู่ ทว่าหลังจากนั้นสเปนก็มาพลิกพ่ายแอฟริกาใต้ในเกมอุ่นเครื่อง ส่วนฮอลแลนด์แพ้ฝรั่งเศส และทำได้เพียงแค่เสมอกับญี่ปุ่นและโคลัมเบียในเกมกระชับมิตรเช่นกัน
สำหรับฮอลแลนด์ถือว่าฟอร์มการเล่นน่าเป็นห่วงกว่าเพราะผิดไปจากเกมรอบคัดเลือกอย่างมาก ขณะที่หลุยส์ ฟาน กัล ผู้จัดการทีมชาติชาวดัตช์ ก็กำลังมีข่าวเตรียมตัวหันไปคุมสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษในฤดูกาลหน้าหลังการแข่งขันฟุตบอลโลกเสร็จสิ้น
การพบกันของทั้งสองทีมถือว่าเร็วเกินคาด เพราะเจอกันตั้งแต่นัดแรกหลังการแข่งขันเปิดฉากขึ้นเพียง 2 วันเท่านั้น ทว่าบิเซนเต เดล บอสเก กุนซือทีมชาติสเปนกลับมองเป็นการวัดกันไปเลยว่า ทีมใดมีความพร้อมกว่าและเป็นทีมที่ดีกว่าก็สมควรเป็นผู้ชนะ ซึ่งสเปนยังไม่แพ้ใครในเกมอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ศึกฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา
อังกฤษ – อิตาลี
วันที่ 14 มิถุนายน 2557
สนาม อารีนา อเมซอเนีย, มานอส
อังกฤษ ทีมขวัญใจมหาชน อยู่ในกลุ่ม ดี ร่วมสายกับอิตาลี อุรุกวัยและคอสตาริกา แต่ต้องมาเจอศึกหนักตั้งแต่นัดแรกในฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายหนนี้ โดยพบกับอิตาลี แชมป์ฟุตบอลโลก 2006 ในวันที่ 14 มิถุนายน
สำหรับผลงานในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่ผ่านมา ทีมชาติอังกฤษสามารถเก็บชัยชนะ 6 นัดจากการลงสนาม 10 นัดโดยไม่แพ้ใครเลย เช่นเดียวกับอิตาลีที่แพ้ไม่เป็นและคว้าชัย 6 นัดจาก 10 นัด พร้อมผ่านเข้ารอบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่มเช่นกัน
ทว่าหลังจากเข้ารอบสำเร็จทั้งสองทีมต่างก็ทำผลงานไม่น่าประทับใจนัก
เซซาเร ปรันเดลลี กุนซือทีมชาติอิตาลีก็ออกมายอมรับว่า ผลงานของอิตาลีในระยะหลังไม่สู้ดี ทำให้แฟนบอลผิดหวังและถูกสื่อแดนมะกะโรนีโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังยืนยันความมั่นใจว่าจะสามารถกลับมาทำผลงานดีได้ในการพบกับทีมใหญ่ด้วยกัน โดยอ้างว่าการเล่นกับทีมเล็กๆ ทำได้ยากกว่า
สำหรับรอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เตรียมความพร้อมโดยการเรียกนักเตะดาวรุ่งมาติดทัพหลายราย และเลือกนักเตะตัวเก๋ามาเป็นกำลังหลักของทีมไม่กี่ราย อาทิ สตีเวน เจอร์ราร์ด เวย์น รูนีย์และแฟรงค์ แลมพาร์ด หวังให้แข้งดาวรุ่งที่กำลังฟอร์มร้อนแรงกับสโมสรต้นสังกัด เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในระดับนานาชาติ
เยอรมนี – โปรตุเกส
วันที่ 16 มิถุนายน 2557
สนาม อารีนา ฟอนเต โนวา, ซัลวาดอร์
เยอรมนีผ่านเข้ารอบสุดท้ายศึกฟุตบอลโลกในฐานะแชมป์กลุ่ม โดยไม่แพ้ใครและชนะถึง 9 นัดจากการลงสนาม 10 นัด ส่วนโปรตุเกสผลงานเป็นรองพอสมควร ต้องเหนื่อยเพลย์ออฟหลังคว้ารองแชมป์กลุ่ม โดยชนะ 6 นัด เสมอ 3 นัดและแพ้ 1 นัดจากการลงเล่น 10 นัดในรอบคัดเลือก การพบกันของทั้งคู่นี้นับว่าอาจเป็นการชี้ชะตาทีมที่จะสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้เหมือนกัน
ทีมชาติโปรตุเกสยังเป็นรองในเรื่องตัวผู้เล่น ที่หลายคนเชื่อว่าผลงานของทีมจะไปได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับฟอร์มการเล่นของนักเตะคนสำคัญที่สุดอย่างคริสเตียโน โรนัลโด ปีกตัวเก่งจากสโมสรเรอัล มาดริด ที่เปรียบเสมือนผู้ที่แบกทีมทั้งทีมไว้คนเดียว
ขณะที่ในฤดูกาลที่ผ่านมาโรนัลโดได้ลงสนามพบกับทีมดังจากเยอรมนีทั้งชาลเค่ 04, โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์และบาเยิร์น มิวนิค ในศึกฟุตบอลถ้วยยุโรปรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งในการแข่งขัน 5 นัดที่โรนัลโดลงเล่นเขาทำประตูให้ทีมต้นสังกัดได้ถึง 7 ประตู รวมทั้ง 2 ประตูในการพบบาเยิร์น มิวนิคที่สนามอัลลิอันซ์ อารีนา
สำหรับเยอรมนียังคงอยู่ในช่วงฟอร์มดีต่อเนื่องนับแต่ศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่สามารถมาไกลถึงอันดับ 3 ด้วยผลงานของนักเตะดาวรุ่งสายเลือดใหม่ทำให้สไตล์การเล่นของทีมน่าประทับใจ มีเกมรุกที่หลากหลายและเร้าใจ เกมรับเหนียวแน่น ดูได้จากผลงานรอบคัดเลือกที่ทำประตูไป 36 ประตูจาก 10 นัด ผลต่างประตูได้เสียดีเป็นอันดับต้นๆ
แต่ก็ยังคงจะประมาทคริสเตียโน โรนัลโดไม่ได้ เนื่องจากเขามีส่วนสำคัญในการพาทีมผ่านเข้ารอบหลังชนะเพลย์ออฟต่อสวีเดนด้วยสกอร์รวม 2 นัด 4-2 และยังรั้งอันดับ 3 ร่วมในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดด้วยผลงาน 8 ประตูในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา
บราซิล – เม็กซิโก
วันที่ 17 มิถุนายน 2557
สนาม เอสตาดิโอ คาสเตลา, ฟอร์ตาเลซา
บราซิล เจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 อาจสร้างจุดเปลี่ยนในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันครั้งนี้ได้ หากโชว์ฟอร์มน่าประทับใจ จนสามารถทำให้แฟนบอลในประเทศหันมาสนใจฟุตบอลและให้กำลังใจทีมชาติแทน พร้อมนำรายได้เข้าประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ดีขึ้นได้ จากที่ก่อนหน้านี้มีกระแสต่อต้านการรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ เพราะต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลในการปรับปรุงสนามและสร้างสนามแข่งขันหลายแห่ง
บราซิลทำผลงานในเกมอุ่นเครื่องได้ดีต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยเอาชนะคู่แข่งหลายนัดติดต่อกันและเสียประตูน้อยมาก ปีนี้ลงเตะกระชับมิตรกับแอฟริกาใต้ก็เอาชนะไปถล่มทลายถึง 5-0
ขณะที่เม็กซิโกผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกด้วยการเพลย์ออฟ หลังผ่านรอบคัดเลือกรอบ 3 ในฐานะแชมป์กลุ่ม โดยชนะ 6 นัดรวดเก็บ 18 คะแนนเต็ม ซึ่งในการเพลย์ออฟกับนิวซีแลนด์จากโซนโอเชียเนีย เม็กซิโกเอาชนะไปด้วยสกอร์รวม 2 นัดท่วมท้นถึง 9-3
แต่เม็กซิโกก็ยังมีสถิติการพบกันกับบราซิลค่อนข้างดี โดยนับแต่ปี 1999 เป็นต้นมาสามารถเอาชนะบราซิลได้ 7 ครั้งจากการพบกัน 14 ครั้งหลังสุด และยังยันเสมอแชมป์โลก 5 สมัยได้ 2 ครั้งในเกมอย่างเป็นทางการ ยังไม่รวมนักเตะชุดอายุต่ำกว่า 23 ปีที่สามารถเอาชนะได้ในศึกโอลิมปิก นัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 2012
อย่างไรก็ตาม บราซิลยังอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าจากการคว้าแชมป์ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์ คัพ 2013 ที่ผ่านมา ซึ่งในรอบแบ่งกลุ่มบราซิลเป็นฝ่ายเอาชนะเม็กซิโกที่ไม่ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ 2-0 แต่กระนั้นหากจะมีทีมใดในกลุ่ม เอ ที่ประกอบด้วย บราซิล เม็กซิโก โครเอเชียและแคเมอรูน สามารถเอาชนะบราซิลได้ก็น่าจะเป็นเม็กซิโก แต่ถ้าไม่บราซิลก็มีสิทธิ์ที่จะไปได้ไกลในการแข่งขันครั้งนี้
ข่าวเด่น