จากแนวโน้มทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจกลุ่มสินค้าความงามมีอนาคตสดใสมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นเหมือนกับธุรกิจอื่นๆ แต่สัญญาณที่ดีดังกล่าวก็ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจด้านความงามคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดสิ้นปีนี้น่าจะมีอัตราการเติบโตได้ที่ 7-8% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ตลาดรวมมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ในมูลค่าดังกล่าวแบ่งเป็น การทำตลาดผ่านช่องทางค้าปลีก 80,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 44,000 ล้านบาท เป็นการทำตลาดผ่านช่องทางเคาน์เตอร์แบรนด์และการขายตรง
แนวโน้มที่ดีดังกล่าว ส่งผลให้ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เกิดพลังที่จะเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจหรือการเมืองจะเป็นอย่างไร สาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของความสวยงาม ด้วยเหตุนี้ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จึงออกมาประกาศแผนสยายปีกธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั้ง 3 แบรนด์ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ (BEAUTY BUFFET) ,บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) และ บิวตี้ มาร์เก็ต (BEAUTY MARKET)
นายแพทย์ สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันพบว่า ส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางรูปแบบต่างๆ มากขึ้น จนกลายเป็นสินค้าจำเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผนการทำตลาด ด้วยการเพิ่มความหลากหลายในสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งในส่วนของบริษัทเองก็ได้มีการปรับแผนการทำตลาดออกมาในรูปแบบดังกล่าวเช่นกัน ด้วยการเพิ่มศักยภาพด้านการขายให้กับบุคลากร และการปรับกลยุทธ์ทางการขายของช็อปแบรนด์ (SHOP BRAND) ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ผ่าน 3 ช็อปจำหน่ายหลัก
จุดเด่นของร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ (BEAUTY BUFFET) จะเป็นการนำเสนอรูปแบบการผสมผสานระหว่างแนวคิดของธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์เข้ากับธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอาง ทำให้เกิดความแตกต่างและโดดเด่น รูปแบบร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ ที่มีสินค้าหลากหลายให้เลือกสรร มุ่งเน้นการตกแต่งที่มีสีสันโดดเด่นและการให้บริการที่เป็นกันเอง เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะทำการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนเอง
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายภายใต้ร้านบิวตี้ บุฟเฟต์จะถูกนำเสนอด้วยแบรนด์ ( Private Brand ) ที่หลากหลาย ประกอบด้วย GINO McCRAY (The Professional Make Up) THE BAKERY (Sweet & Delicious) SCENTIO ( Inspired by nature) และ LANSLEY ( Beauty and well being ) ซึ่งแต่ละแบรนด์ที่นำมาจำหน่ายจะมีระดับราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับเครื่องสำอางที่จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีก
ส่วน ร้าน บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) เป็นแนวคิดในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติผนวกเข้ากับการตกแต่งร้านและออกแบบบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบย้อนยุค (Vintage) ซึ่งก่อให้เกิดความเรียบหรูลงตัวอย่างมีระดับ ผลิตภัณฑ์ในร้านค้าปลีกภายใต้แนวคิด บิวตี้ คอทเทจ ทั้งหมดจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ “Beauty Cottage” เพียงแบรนด์เดียว (Single brand) โดยมีความโดดเด่นในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวด้วยคุณสมบัติเฉพาะจากสารสกัดธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพภายใต้แนวคิดธรรมชาติ
ทั้งนี้ บิวตี้ บุฟเฟต์ และ บิวตี้ คอทเทจ จะนำเสนอผลิตภัณฑ์หลักต่อผู้บริโภค โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งครอบคลุมเกือบทั้งหมดในความต้องการของลูกค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Make-up) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin care) และอุปกรณ์เสริมความงาม (Accessories) โดยที่ บิวตี้ บุฟเฟต์ จะมีความโดดเด่นในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ในขณะที่ บิวตี้ คอทเทจ เน้นการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงมากกว่า
ขณะที่ ร้าน บิวตี้ มาร์เก็ต (BEAUTY MARKET) จะเป็นแนวคิดในการนำเสนอรูปแบบการผสมผสานระหว่างคอนเซ็ปท์ของ SuperMarket และร้านเครื่องสำอางเข้าด้วยกัน ภายใต้แนวคิดนี้ได้นำจุดเด่นของการซื้อสินค้าที่หลากหลายใน SuperMarket ร้านสะดวกซื้อและความตื่นเต้นของการช้อปเครื่องสำอางมาผนวกเข้าด้วยกัน บิวตี้ มาร์เก็ต เป็นร้านเครื่องสำอางเฉพาะอย่าง ( Beauty specialty store) ที่มุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์เพื่อความงามโดยเฉพาะ จึงทำให้เกิดความแตกต่างและความแปลกใหม่ในวงการร้านเครื่องสำอาง ซึ่งยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน
ในส่วนของการทำตลาดร้าน บิวตี้ มาร์เก็ต จะเน้นไปที่การมอบประสบการณ์ความงามที่ครบครัน ภายใต้สโลแกนประจำร้าน คือ “ร้านสะดวกสวย” ภายในร้านจะมีสินค้าเกี่ยวกับความงามทั้งหมดกว่า 300 แบรนด์ รวม 4,000 - 9,000 รายการ แบ่งออกเป็น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สบู่ น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เครื่องดื่มเพื่อความงาม วิตามินเพื่อความงาม อุปกรณ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลสำหรับผู้ชาย และสินค้าเพื่อความงามกลุ่มอื่นๆ
นอกจากนี้ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ ยังมีกลุ่มสินค้า เมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE) แนวคิดผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ รวมทั้งใช้รูปแบบบรรจุภัณฑ์ลักษณะสีสันธรรมชาติ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงด้านการบำรุงผิว (Skin care) ซึ่งมีวัตถุดิบสำคัญนำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเกาหลี ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้าง(Premium mass) โดยจัดจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หรือโมเดิร์นเทรดและซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำต่างๆ อีกด้วย
นายสุวิน กล่าวต่อว่า ในด้านของแผนการขยายสาขาปีนี้ บริษัทจะขยายร้านบิวตี้ บุฟเฟ่ต์ เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30 สาขา ส่งผลให้สิ้นปีจะมีสาขารวม 210 สาขา ขณะที่ ร้านบิวตี้ คอทเทจ มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 20 สาขา ส่งผลให้สิ้นปี มีสาขารวม 70 สาขา และร้านบิวตี้ มาร์เก็ต มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 9 สาขา เพื่อให้สิ้นปีมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการครบ 15 สาขา
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะขยายสาขาไปยังกลุ่มประเทศ CLMV อีกประมาณ 13 สาขา แบ่งเป็น กัมพูชา 4 สาขา เวียดนาม 4 สาขา ลาว 3 สาขา และ พม่า 2 สาขา จากปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการรวมใน 4 ประเทศ ที่ 8 สาขา แบ่งเป็นร้านบิวตี้ บุฟเฟ่ต์ 5 สาขา และบิวตี้ คอทเทจ 3 สาขา ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้ บริษัท บิวตี้ คิมมูนิตี้ ต้องเตรียมงบลงทุนเปิดร้านใหม่อยู่ที่ประมาณ 380-400 ล้านบาท แบ่งเป็นการเปิดร้านใหม่ 180-200 ล้านบาท การลงทุนคลังสินค้าและศูนย์เทรนนิ่งเซ็นเตอร์ 180 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 20 ล้านบาท เป็นการลงทุนด้านระบบไอที
หลังจากออกมาเดินหน้าขยายธุรกิจ ควบคู่ไปกับการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ภายใต้งบ 3% ของรายได้รวม ทำให้บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ มั่นใจว่า สิ้นปีนี้จะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% อย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,002.66 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 777.65 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 28.93% และมีกำไรสุทธิ 211.41 ล้านบาท
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานของ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีรายได้รวม 280.87 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 48.03 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 232.84 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.62 % และมีกำไรสุทธิจำนวน 51.16 ล้านบาท.
ข่าวเด่น