จากแนวโน้มของคนไทยที่มีการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้นิยมดื่มกาแฟสูงขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้มีผู้ประกอบหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดร้านกาแฟอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหน้าเก่าก็เร่งสยายปีกสาขาใหม่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
"สตาร์บัคส์" ถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรายเก่า ที่เดินหน้าขยายธุรกิจร้านกาแฟในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันมีการจำหน่ายกาแฟมากกว่า 1.8 ล้านแก้วต่อเดือน หลังจากมีการขยายสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่กลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย คอนโดมิเนียม หรือร้านที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ล่าสุด สตาร์บัคส์ ได้มีการเปิดร้านบริการในคอนเซ็ปท์ไดร์ฟทรู เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เร่งรีบ
ผลการตอบรับจากลูกค้าในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา นายฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ ประธานบริษัท ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ได้ออกมาประกาศเมื่อครั้งมาเยือนเมืองไทยอย่างเป็นทางการว่า จะขยายจำนวนสาขาร้านสตาร์บัคส์ในประเทศไทเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในปี พ.ศ. 2561 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า
ปัจจุบัน สตาร์บัคส์ มีจำนวนร้านเปิดให้บริการทั้งสิ้น 200 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 141 สาขาและ ต่างจังหวัด 59 สาขา โดยภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ ได้ขยายสาขาในประเทศไทยไปแล้วจำนวน 32 สาขา
นายเมอร์เรย์ ดาร์ลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากลูกค้าในประเทศไทยให้การตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากวัฒนธรรมการดื่มกาแฟได้แพร่หลายและเป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการเติบโตและนวัตกรรมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวส่งผลให้กรุงเทพมหานครติดอันดับ 10 ของเมืองที่มีจำนวนร้านกาแฟสตาร์บัคส์มากที่สุดในโลก
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ สตาร์บัคส์ จะเดินหน้าเพิ่มสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องปีละไม่น้อยกว่า 30 สาขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 400 สาขาในปี 2562 จากปัจจุบันมีจำนวนสาขาที่เปิดให้บริการอยู่ที่ 200 สาขา ซึ่งในครึ่งปีหลังจากนี้ สตาร์บัคส์ มีแผนที่จะเพิ่มสาขาใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 20 สาขา ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เนื่องจากอัตราการดื่มกาแฟของคนไทยยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก เพราะปัจจุบันประชากรไทยมีการบริโภคกาแฟอยู่ที่ประมาณ 30% ของประชากรทั้งหมด
นอกจากนี้ จากการสำรวจเกี่ยวกับแบรนด์สตาร์บัคส์ในประเทศไทยเมื่อเดือน มี.ค.2557 ที่ผ่านมา พบว่า สตาร์บัคส์เป็นกาแฟแบรนด์แรกที่คนนึกถึงกาแฟ และเหตุผลในการเลือกเข้าใช้บริการ เนื่องจากใช้สิทธิประโยชน์จากลอยัลตี้โปรแกรม “มาย สตาร์บัคส์ รีวอร์ด” สัดส่วน 61% ตามด้วยเครื่องดื่มมีรสชาติคงที่ 52% มีการจัดโปรโมชั่น 23% เลือกเพราะบาริสต้า 21% และ ความสะดวกสบาย 20%
นายเมอร์เรย์ กล่าวว่า ตลอด 16 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แบรนด์สตาร์บัคส์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยมียอดขายรวมเดือนละ 1.81 ล้านแก้ว และสามารถเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีปัจจัยลบในหลายด้านเกิดขึ้นในประเทศไทย และในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทเชื่อว่าจะมียอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักเหมือนกับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
ปัจจัยที่ทำให้ สตาร์บัคส์ มียอดขายเติบโตที่ดีต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากจะมีการเปิดตัวเมนูใหม่เข้าทำตลาด และมีการทำโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขายแล้ว ส่วนหนึ่งน่าจะมีจากการสร้างความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ด้วยการเลือกใช้สื่อที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายอย่างสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับผู้บริโภค เช่น เฟซบุ๊ค ซึ่งปัจจุบันมีแฟนเพจมากถึง 6.3 แสน ขณะที่ อินสตาแกรม มีลูกค้าฟอลโลว์อยู่ที่ 1.2 หมื่น และบัตรมาชิกมายสตาร์บัคส์ รีวอร์ด มียอดอยู่ที่ 3.5 แสนคน
นายเมอร์เรย์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาสตาร์บัคส์มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีรับผิดชอบผ่านการแสวงหาเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมอย่างมีจริยธรรมจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแก่ชุมชนที่สตาร์บัคส์ดำเนินธุรกิจอยู่ บริษัทภูมิใจที่ประเทศไทยได้รับการบันทึกเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญๆ สำหรับสตาร์บัคส์ เป็นประเทศแรกที่มีร้านกาแฟสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับรองมาตรฐาน LEED® ระดับ Gold แห่งแรกในเอเชีย รวมถึงการเปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งแรกในเอเชียและนอกประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ล่าสุดได้เปิดตัว ลอยัลตี้ โปรแกรม ‘My Starbucks Rewards’ เพื่อยกระดับประสบการณ์สตาร์บัคส์ ผ่านการมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า ความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว นายเมอร์เรย์ กล่าวว่า เกิดจากความมุมานะและทุ่มเทของพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) ทุกคนที่ได้ร่วมแบ่งปันความรักและความลุ่มหลงในกาแฟส่งผ่านไปยังลูกค้าในแต่ละวัน
นายเมอร์เรย์ กล่าวอีกว่า จากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวทำให้บริษัทต้องเดินหน้าพัฒนาบริการใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในนั้น คือ การขยายสาขาบริการในรูปแบบไดร์ฟทรู และสาขาล่าสุดที่เปิดให้บริการ คือ ร้านสตาร์บัคส์ สาขาที่ 200 ณ ตั้งอยู่ที่นิคมมินิแฟคตอรี่ ฟาสท์แฟค อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นสาขาที่ให้บริการแบบไดร์ฟทรูแห่งที่ 3 ในประเทศไทย ต่อจากสาขาพอร์โต้ ชิโน่ จ.สมุทรสาคร และ วิคตอเรีย การ์เด้น ในกรุงเทพมหานคร
สำหรับจุดเด่นของร้านสตาร์บัคส์ บริการแบบไดร์ฟทรู สาขาอยุธยา จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ชั้น มีเก้าอี้นั่งในหลากหลายรูปแบบ การตกแต่งภายในร้านสะท้อนถึงเรื่องราวกรรมวิธีในการผลิตกาแฟจากแหล่งเพาะปลูก สู่กาแฟแก้วโปรด โดดเด่นด้วยภาพวาดเขียนบนผนังร้าน “ระดับความเข้มของกาแฟ (Coffee Spectrum)” ที่บอกเล่าเรื่องราวเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้าชั้นเยี่ยมชนิดต่างๆที่สตาร์บัคส์นำมาให้บริการแก่ลูกค้า
นอกจากนี้ ยังมี "คอมมิวนิตี้ รูม" ห้องส่วนตัวเหมาะสำหรับพบปะสังสรรค์ดื่มกาแฟกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ได้อย่างเป็นส่วนตัว โดยวัสดุภายในร้านได้มีการนำไม้ที่ใช้แล้วและวัสดุในท้องถิ่นมาใช้ภายในร้าน ตอกย้ำแนวคิดการสร้างร้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงาน ส่วนการตกแต่งภายนอก สร้างจากวัสดุอิฐแดงที่ใช้แล้ว สะท้อนเอกลักษณ์ด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของจ.อยุธยา
นายเมอร์เรย์ กล่าวปิดท้ายว่า จากการก่อสร้างที่คำนึงถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ขณะนี้ร้านสตาร์บัคส์ สาขา นิคมมินิแฟคตอรี่ ฟาสท์แฟค อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่ระหว่างการขอรับรองร้านกาแฟสีเขียวตามมาตรฐาน LEED® ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ สตาร์บัคส์
การออกมาเปิดเกมรุกดังกล่าว น่าจะเป็นหนึ่งกลยุทธ์หลักที่สตาร์บัคส์เลือกนำมาประกาศ เพื่อสร้างความเกรงขามให้กับคู่แข่งในตลาดประเทศไทย เพราะนับวันการแข่งขันของตลาดร้านกาแฟในประเทศไทยจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น เห็นได้จากรายใหม่ที่พยายามเข้ามาเจาะตลาด ขณะที่รายเก่าเองก็เร่งขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลให้ทำเลที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นในห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน สถานศึกษา หรือโรงพยาบาล จะเห็นร้านกาแฟแบรนด์ดัง และแบรนด์น้องใหม่เข้าไปเปิดให้บริการเพื่อเอาใจคอกาแฟ
จากการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าว กลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการแต่ละรายเลือกนำมาใช้ คาดว่าคงไม่ใช่แค่การขยายสาขาใหม่เท่านั้น แต่จะต้องเป็นการทำกิจกรรมส่งเสริมขาย เช่น การทำโปรโมชั่น ลก แลก แจก แถม รวมไปถึงการทำกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและสังคม เพราะปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายกว่าแต่ก่อน ดังนั้นการทำการตลาดแบบขอไปทีคงใช้ในยุคสมัยนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว.
ข่าวเด่น