เครื่องดื่มฟังชันนัลดริงก์ยังคงเป็นสินค้าที่เป็นเทรนด์ระดับโลก เนื่องจากผู้บริโภคยังคงสนใจในเรื่องของกระแสสุขภาพและมุ่งเน้นชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพียงแต่การทำตลาดอาจไม่หวือหวาเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากคู่แข่งในตลาดลดลง ประกอบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมามีปัจจัยลบในด้านของเศรษฐกิจ และความวุ่นวายทางการเมือง ผู้ประกอบการในตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์จึงขออยู่นิ่งๆ เพื่อรอดูทิศทางเศรษฐกิจ การเมือง และกำลังซื้อของผู้บริโภค
หลังจากทุกอย่างปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองที่เริ่มมีความชัดเจน ภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ พร้อมออกมาประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่น กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมาฟื้นตัว แนวโน้มที่ดีดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการในหลายธุรกิจเริ่มออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดมากขึ้นเช่นเดียวกับเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ถือว่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบไม่มากนัก เนื่องจากทุกรายอยู่ในช่วง เวท แอนด์ ซี แต่หลังจากทุกสงบก็เริ่มออกมาเปิดตัวสินค้าใหม่เช่นเดียวกับบริษัทเซ็ปเป้ หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่พอกลับมารุกทำตลาดอีกครั้งก็สร้างความฮือฮาให้กับตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ไม่น้อยเลยทีเดียว
นายอดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ภายใต้ชื่อ เซ็ปเป้ กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของเครื่องดื่ม “เซ็ปเป้ บิวติ ดริงค์” ยังคงรักษาจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพ รสชาติ และภาพลักษณ์สินค้า จึงทำให้ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีการจำหน่ายภายในประเทศประมาณ 38-40% ส่วนที่เหลือประมาณ 60-62% เป็นการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ 57 ประเทศ ผ่านคู่ค้า ตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนนำเข้าสินค้า ผู้ค้าปลีก และร้านค้ารายย่อย โดยแต่ละปียังคงมีอัตราเติบโตในระดับ 2 หลัก
นอกจากนี้ เซ็ปเป้ ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดเครื่องดื่มฟังชันนัลดริงก์สำหรับผู้หญิง แม้ว่าคู่แข่งขันจะน้อยลง แต่หากมองในด้านของการแข่งขันแล้ว ตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์สำหรับผู้หญิงกลับรุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลางเริ่มทยอยปิดตัวลง คงเหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่งผลให้แต่ละรายต่างออกมากระหน่ำงบ เพื่อชิงความเป็นผู้นำตลาด
ล่าสุด เซ็ปเป้ ได้ออกมาประกาศใช้งบประมาณ 100 บาท ในการเปิดตัวแคมเปญการตลาดรูปแบบใหม่ ด้วยการนำหนุ่มฮอตของวงการบันเทิงอย่าง “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ผู้ชายคนแรกให้กับเครื่องดื่ม “เซ็ปเป้ บิวติ ดริงค์” เครื่องดื่มฟังชันนัลดริงก์สำหรับผู้หญิง เพื่อเชิญชวนให้สาวๆ หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ขณะเดียวกันยังถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มฟังชันนัลดริงก์สำหรับผู้หญิงที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
นายอดิศักดิ์ กล่าวอีกว่า เหตุผลที่บริษัทตัดสินใจเลือก “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับเครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวติดริงก์ เพราะเป็นศิลปินผู้ชายที่มีภาพลักษณ์ดีและได้รับความชื่นชมจากประชาชนทั่วไป ซึ่งหลังจากให้ อนันดา มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ บริษัทคาดว่าจะทำให้ “เซ็ปเป้ บิวติ ดริงค์” มีภาพลักษณ์สินค้าดีขึ้นในระดับพรีเมียม และหลังจากนำภาพยนตร์โฆษณาชุด “งานเลี้ยง” เผยแพร่ผ่านสื่อ และทำไวรัลมาร์เก็ตติ้งทางสื่อออนไลน์ บริษัทมั่นใจว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขาย เซ็ปเป้ บิวติ ดริงก์ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 25% ภายในเวลา 1 เดือนนับจากนี้
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เซ็ปเป้ ยังคงมุ่งพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าภายในประเทศ เนื่องจากเครื่องดื่มฟังชันนัลดริงก์จะมียอดขายดีในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 3 ของแต่ละปี ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวรสชาติลิ้นจี่ เข้ามาทำตลาด ส่งผลให้ปัจจุบันมีสินค้า เซ็ปเป้ บิวติ ดริงก์ เข้าทำตลาดทั้งหมด 8 รสชาติ ประกอบด้วย คอลลาเจน, ไฟเบอร์, คิวเท็น ,คลอโรฟิลล์ ,แอลกลูต้าไวท์ ,เบอร์รี่ไบรท์, เบต้ากลูแคน และ ลิ้นจี่
ในด้านของกลุ่มเป้าหมายหลักของการทำตลาดเครื่องดื่ม เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้ง ยังคงเน้นไปที่กลุ่มนักศึกษาและคนวัยทำงานอายุ 18-35 ปี รวมถึงผู้หญิงทุกคนที่ต้องการสวยดูดีในแบบของตัวเอง ซึ่งหลังจากออกมาทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เซ็ปเป้ คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท และผลักดันให้ เซ็ปเป้ บิวติ ดริงก์ มียอดขายในสิ้นปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 3,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 36%
ปัจจัยที่ทำให้ เซ็ปเป้ มั่นใจว่า สิ้นปีจะมียอดขายเติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย คือ การสร้างแบรนด์ อะแวเนส และสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการเตรียมเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักร้องในการออกผลงานเพลงและอัลบั้มใหม่ๆ ซึ่งเบื้องต้นอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม หลังจากปีที่ผ่านมาได้ใช้งบประมาณในการเป็นสปอนเซอร์ให้กับใบเตย อาร์สยาม ด้วยงบประมาณ 40 ล้านบาท และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ การที่ เซ็ปเป้ ออกมาเปิดตัวกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมว่านหางจระเข้ "เซ็ปเป้ อะโลเวร่า" กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ภายหลังจากหยุดทำตลาดไป 10 ปี เนื่องจากไม่ประสบผลสำเร็จในด้านของยอดขาย เพราะผู้บริโภคไม่คุ้นเคยกับการรับประทานว่านหางจระเข้ แต่หลังจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปและหันมาให้ความสนใจรับประทานเครื่องดื่มสมุนไพรมากขึ้น จึงทำให้ เซ็ปเป้ มีความมั่นใจและนำเครื่องดื่ม เซ็ปเป้ อะโลเวร่า กลับเข้ามาทำตลาดอีกครั้ง
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแม้หลายธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ การเมือง แต่ในกลุ่มสินค้าของบริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากความหลากหลายของสินค้าในกลุ่มบริษัท ไม่ว่าจะเป็นกาแฟเพียว 3 อิน 1 ที่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด เนื่องจากราคาที่ยังสามารถซื้อหาได้ตามปกติ ไม่เหมือนสินค้าในกลุ่มระดับบนที่อาจจะมีการคิดก่อนตัดสินใจซื้อ
อย่างไรก็ตาม จากการที่ เซ็ปเป้ ออกมาโหมทำการตลาดเครื่องดื่มฟังก์นัลดริงก์อีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ด้วยการออกสินค้าใหม่และการให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการเตรียมใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมการตลาด โฆษณาประชาสัมพันธ์ และการเป็นสปอนเซอร์ให้กิจกรรมต่างๆ จึงทำให้ เซ็ปเป้ มั่นใจว่าภาพรวมธุรกิจในปีนี้จะมีรายได้เติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
อีกหนึ่งเป้าหมายที่ เซ็ปเป้ ต้องไปให้ถึงก่อนสิ้นปีนี้ คือ การยื่นจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เซ็ปเป้ได้ทำการเซ็นสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น พร้อมผู้ร่วมจัดการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย), บล.บัวหลวง, บล.ไทยพาณิชย์ และ บล.ธนชาต
หลังจากนำบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประสบความสำเร็จ ธุรกิจเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ของเซ็ปเป้ จะเป็นอย่างไร คงต้องจับตาดูกันต่อไป เพราะการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จในการทำธุรกิจ อนาคตยังรอการพิสูจน์ฝีมือ
ข่าวเด่น