ธนาคารแห่งประเทศไทยแจงกรณีค่าเงินบาทแข็งค่าใกล้แตะระดับ 32 บาท เคลื่อนไหวสอดคล้องภูมิภาค ชี้ปัจจัยจากนักลงทุนเชื่อมั่นตลาดเอเชียมากขึ้น รวมถึงข่าวการปรับจีดีพีของ คสช. และ ก.ล.ต. ประกาศให้ต่างชาติระดมทุนในตลาดหุ้นได้
นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงประเด็นเรื่องแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าใกล้ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ว่า เป็นการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ซึ่งนำโดยเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย (IDR) ที่แข็งค่ามากที่สุด และมีค่าเงินบาทไทยแข็งค่ารองลงมา โดยปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น ได้แก่ 1.นักลงทุนในตลาดการเงินโลกมีความเชื่อมั่นในตลาดเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ผลการเลือกตั้งของอินโดนีเซียมีความชัดเจน ,2. มีข่าวว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาจจะปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ โดยมองว่าเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวในช่วงครึ่งหลังของปีทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจทั้งปี 57 จะขยายตัวได้สูงกว่า 2.5% และ 3.ปัจจัยบวกจากข่าวว่า ก.ล.ต. อนุญาตให้บริษัทต่างประเทศสามารถเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้สะดวกขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยให้ตลาดทุนไทยมีความกว้างและลึกมากขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นต่อการเมืองไทยและเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทำให้นักลงทุนต่างชาติปรับฐานะการลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ปรับลดน้ำหนักความสำคัญของการลงทุนในไทยลงไป โดยเริ่มเห็นเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรมากขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายนต่อเนื่องถึงเดือนกรกฎาคม ซึ่งแตกต่างจากเดือนพฤษภาคมที่เงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่ามากสุดในภูมิภาค ช่วงนี้จึงเหมือนเงินบาทปรับตัวไล่ตามภูมิภาคจากที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวนัก
อย่างไรก็ดี หากนับจากต้นปีเงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็นลำดับกลางๆเมื่อเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค 9 สกุล โดยแข่งค่าขึ้น 2.75% เป็นลำดับที่ 4 ตามหลังรูเปียห์ที่แข็งค่าขึ้น 5.93% ,ริงกิตมาเลเซียที่ 3.6% และรูปีอินเดียวที่ 2.81% ดังนั้น การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทในระยะยนี้จึงอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการที่มีภาระเงินตราต่างประเทศ อาทิ ต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อนำเข้าสินค้า หรือต้องการชำระคืนหนี้ต่างประเทศ รวมถึงผู้ที่ต้องการไปลงทุนในต่างประเทศ
ข่าวเด่น