กองทุนรวม
SCB EIC วิเคราะห์ เปรียบเทียบกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ใหม่


 เปรียบเทียบกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (PFPO) และ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ใหม่

 

กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (กอง REIT) มีความน่าสนใจมากกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ Property funds for public offering  (กอง PFPO) เนื่องด้วยข้อกำหนดของทรัพย์สินที่กอง REIT สามารถลงทุนในทุกประเภทอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีข้อจำกัดอย่างเช่นในกอง PFPO นักลงทุนมีตัวเลือกมากขึ้นในการลงทุน และกอง REITกองเดียวก็สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า ทรัสตีและผู้จัดการกอง REIT มีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นในการสร้างมูลค่าของกอง REIT และสร้างเสริมให้กอง REIT มีศักยภาพสูงขึ้นในการแข่งขันกับกอง REIT ของต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ จึงมีแนวโน้มว่ากอง REITแต่ละกองจะมีอัตราการเติบโตและมีผลประกอบการในระยะยาวที่ดีกว่ากอง PFPO

·    ในแง่สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจากรายได้ที่ได้รับจากกอง REIT มีสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีสำหรับนักลงทุนรายย่อยนั้นไม่ต่างจากที่ได้รับจากกอง PFPO แต่สำหรับนักลงทุนสถาบันจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เรื่องการยกเว้นภาษีจากเงินปันผลอีกต่อไป นักลงทุนต่างชาติก็เช่นกัน จากที่เคยได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผลเมื่อลงทุนในกอง PFPOจะต้องเสียภาษี (หัก ณ ที่จ่าย) เมื่อได้รับเงินปันผลในอัตรา 10% เช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทอื่น เมื่อลงทุนในกอง REIT

·    ประเด็นที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกลงทุนในกอง REIT คือ เรื่องการลดลงของมูลค่าหน่วยทรัสต์ ที่ซื้อขายในตลาดรองเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งมีแนวโน้มเป็นไปในทางเดียวกันกับกอง PFPO ซึ่งนั่นหมายถึงนักลงทุนมีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนได้ สาเหตุที่ทำให้เกิดการลดลงของมูลค่าหน่วยลงทุนนั้นมีหลายประการ ได้แก่ คุณภาพอสังหาริมทรัพย์,การขาดสภาพคล่องของตลาดกองทุนรวมราคาประเมินมูลค่าสินทรัพย์เมื่อเข้าลงทุนครั้งแรก และช่วงเวลาที่ทำการจดทะเบียนกองทุน ฉะนั้น เพื่อเป็นการลดโอกาสที่จะก่อให้เกิดการลดลงของมูลค่าหน่วยลงทุน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ ผู้กำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรึกษาทางการเงินผู้จัดการกอง REIT และทรัสตีต้องมีบทบาทร่วมกันในการคัดเลือกอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพดี และสนับสนุนให้การประเมินราคาเป็นไปอย่างเป็นกลางและสอดคล้องกับความสามารถในการสร้างรายได้ของทรัพย์สินในระยะยาว รวมทั้งมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย

 

กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะเข้ามาแทนที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กอง PFPO ในไทยจะถูกแทนที่ด้วยกอง REIT ซึ่งเป็นรูปแบบกองทุนที่มีความเป็นสากลเทียบเท่าต่างประเทศ และมีแนวทางที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก การดำเนินงานของกอง REIT อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.. 2550 ตลาดของกอง PFPO ในช่วงระยะเวลา10 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันถึง 248 พันล้านบาท จากทั้งหมด 48 กองทุน ซึ่งแบ่งเป็นประเภทอสังหาริมทรัพย์ 7 ประเภท (รูปที่ 1) ทั้งนี้ นับจากปี 2557 เป็นต้นไป จะไม่มีการจัดตั้งกอง PFPO ใหม่ และไม่สามารถเพิ่มเงินทุนให้กอง PFPO ที่มีอยู่แล้วได้ กอง PFPO จะยังคงอยู่ในตลาดรอง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) ได้กระตุ้นให้มีการเปลี่ยนจากกอง PFPO เป็นกอง REIT ปัจจุบันการเปลี่ยนมาเป็นกอง REIT มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีในระดับของนักลงทุนบางประเภทก็จะหดหายไปเมื่อแปลงสภาพเป็นกอง REIT แต่ถึงแม้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของนักลงทุนจะลดลง แต่สิทธิประโยชน์ทางภาษีในระดับกอง REIT ยังคงอยู่ คือ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้จากการจัดหารายได้ของกอง REIT ในขณะเดียวกัน นักลงทุนรายย่อยจะยังได้รับการยกเว้นภาษีกำไรส่วนเกินทุน (capital gain tax) เช่นเดิม

รูปแบบการลงทุนของกอง REIT ส่งเสริมให้มีอัตราการเติบโตได้ดีกว่าเนื่องจากมีหลักเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นกว่า กอง REIT มีทางเลือกในการลงทุนได้หลายรูปแบบเพิ่มเติมมากขึ้นดังนี้ โดยสามารถกู้ยืมจากสถาบันการเงินได้ไม่เกิน 35% ของสินทรัพย์รวม หรือไม่เกิน 60% กรณีกอง REIT มี Investment Grade Rating การกู้ยืมเงินจะช่วยให้กอง REIT มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่สูงขึ้น อีกทั้งกอง REITสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่แล้วเสร็จ (green field project) ได้ไม่เกิน 10%ของสินทรัพย์รวม ในแง่ของขอบเขตการลงทุน กอง REIT สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศได้ ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยง แต่ยังช่วยให้กอง REIT ดึงดูดนักลงทุนได้ดีมากขึ้นอีกด้วย คุณลักษณะเด่นอีกประการของกอง REIT คือ สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้หลากหลายประเภทโดยไม่ถูกจำกัดอยู่ภายใต้รายการทรัพย์สินที่ก.ล.ต.อนุญาต ซึ่งต่างจากกอง PFPO ที่สามารถลงทุนได้ในอสังหาริมทรัพย์ 9 ประเภทที่กำหนดไว้เท่านั้น ได้แก่ สำนักงานศูนย์การค้า, โรงงานคลังเก็บสินค้าเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์และที่อยู่อาศัย,โรงแรม, ศูนย์การประชุม และ ศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ โดยกอง REIT นั้นสามารถเพิ่มโอกาสในการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นค่าเช่าที่คงที่ ตัวอย่างเช่น ดินที่ว่างเปล่าที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นที่จอดรถให้เช่า นอกจากนี้ การลงทุนในกองREIT ยังสามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ การลงทุนทางตรงและการลงทุนทางอ้อมโดยลงทุนผ่านบริษัทที่กอง REIT นั้นถือหุ้น 99% ของหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้ การลงทุนโดยซื้อหุ้นบริษัทที่มีทรัพย์สินมากมายมีข้อดีในการช่วยลดภาระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการโอนซื้ออสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนนั่นเอง วิธีการลงทุนในลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลให้ทรัพย์สินรวมของกอง REIT มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข้อดีของกอง REITและจะเพิ่มผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน

สิทธิประโยชน์ทางภาษีของเงินปันผลและกำไรส่วนเกินทุนจากการขายหน่วยลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยนั้นไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับนักลงทุนสถาบัน สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ให้ยกเว้นภาษีเงินปันผลนั้นไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไปแล้ว โดยนักลงทุนรายย่อยไทย จะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% จากเงินปันผลที่ได้จากกอง PFPOและกอง REIT ณ วันที่จ่ายเงินปันผล แต่ได้รับการยกเว้นภาษีส่วนเกินทุน (capital gain tax) จากการขายหน่วยทั้งจากกอง PFPO และกอง REIT ส่วนนักลงทุนสถาบันชาวไทย การยกเว้นภาษีเงินปันผลซึ่งเดิมเคยมีผลบังคับใช้สำหรับกอง PFPO (รูปที่ 2) นั้นไม่มีผลบังคับใช้สำหรับกอง REIT อีกต่อไปแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อด้อยที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนสถาบันชาวไทย อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนของนักลงทุน (ROE) ที่ลงทุนในกอง REIT นั้นสามารถเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ระดับความเสี่ยงก็สามารถลดลงได้ด้วยการใช้เงินกู้ยืมในการลงทุนของกอง REITภายใต้หลักเกณฑ์ใหม่ ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันไทยยังคงต้องเสียภาษีจากกำไรส่วนเกินทุนโดยคำนวณจากอัตราภาษีนิติบุคคลในอัตรา 20% สำหรับนักลงทุนต่างชาติ จะต้องเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากเงินปันผล โดยจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน โดยนักลงทุนรายย่อยต่างชาติ ได้รับการยกเว้นภาษีกำไรส่วนเกินทุนเช่นเดียวกับนักลงทุนไทย แต่นักลงทุนสถาบันชาวต่างชาติต้องเสียภาษีในอัตรา 15% (หรือในอัตราที่ระบุไว้ในอนุสัญญาภาษีซ้อน หรือ Double Tax Agreement ระหว่างไทยและประเทศต่างๆ)

อีไอซี มองว่ากอง REIT จะประสบปัญหามูลค่าหน่วยลงทุนที่อาจลดลงเช่นเดียวกับกอง PFPO ราคาของหน่วยลงทุนที่ลดลงต่ำกว่ามูลค่าเสนอขายครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) ซึ่งปกติอยู่ที่อัตรา 10บาทต่อหน่วยนั้นหมายถึงการขาดทุนของนักลงทุน ทั้งนี้มีสาเหตุหลัก ประการที่ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนลดลง ประการแรก คือ การขาดสภาพคล่องของการซื้อขายตามกลไกในตลาดหุ้น นักลงทุนบางรายซื้อหน่วยลงทุนจากกอง PFPO เพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น แต่แท้จริงแล้วกอง PFPO และกอง REITนั้นเป็นเครื่องมือในการลงทุนระยะยาวด้วยการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่อสังหาริมทรัพย์ยังมีอายุการใช้งานอยู่ สำหรับนักลงทุนที่มองข้ามประโยชน์ของกอง PFPO ในแง่ของการลงทุนระยะยาวมักจะขายหน่วยลงทุนในราคาที่ต่ำกว่าทุนเพื่อไปลงทุนด้านอื่นแทน จึงทำให้ราคาซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดรองของกอง PFPO ลดลง สาเหตุประการที่สอง คือ ช่วงเวลาของการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกอยู่ในช่วงที่ภาวะตลาดอยู่ที่จุดสูงสุด ซึ่งเป็นสาเหตุให้ราคาของหน่วยลงทุนลดลงในเวลาต่อมาตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง กอง PFPO ที่จดทะเบียนก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 ได้รับการประเมินราคาที่ค่อนข้างสูงอันเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้นซึ่งที่มีทิศทางบวก แต่เมื่อสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลาต่อมาเข้าสู่ภาวะถดถอยจึงส่งผลให้ราคาของหน่วยลงทุนลดลงต่ำกว่าตอนเสนอขายครั้งแรก (รูปที่ 5) อย่างไรก็ดี เรื่องของช่วงเวลาก็ไม่ใช่สาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังเสมอไป เนื่องจากเมื่อมีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เป็นที่สันนิษฐานว่าอสังหาริมทรัพย์จะได้รับการประเมินราคาอย่างยุติธรรม (fair valuation) ก่อนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการประเมินราคาอย่างยุติธรรมนั้นหมายถึงการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์โดยประมาณการถึงความสามารถในการจัดหาผลประโยชน์ที่แท้จริงไม่เกินความเป็นจริง หรือไม่เก็งกำไรนั่นเอง โดยกอง PFPO และ กอง REIT ที่เพิ่งจดทะเบียนใหม่ กระแสเงินสดในอนาคตของทรัพย์สินอาจถูกบิดเบือนเนื่องจากสมมติฐานที่เป็นไปในเชิงบวกมากเกินไปในขั้นตอนการประเมินราคา ผลลัพธ์ที่ได้ คือ การประเมินราคาที่ทำให้มูลค่าสูงกว่าความเป็นจริงหรือเรียกว่า Overvaluation ซึ่งการประเมินราคาที่มีมูลค่าสูงกว่าความเป็นจริงนี้เองที่เป็นหนึ่งในสาเหตุ 3 ประการที่ทำให้ราคาของหน่วยลงทุนลดลงเนื่องจากผลประกอบการที่แท้จริงต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ทำให้นักลงทุนผิดหวังและขายหน่วยลงทุนนั้นเพื่อไปลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่น อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนของการประเมินราคาสูงกว่าความเป็นจริง คือ กรณีกอง PFPO และ กอง REIT มีการรับประกันผลตอบแทนจากผู้เช่าซึ่งเป็นผู้เช่าเพียงรายเดียว ซึ่งโดยทั่วไปก็คือสปอนเซอร์ (หรือเจ้าของอสังหาฯ เดิม) เมื่อสปอนเซอร์เป็นผู้จัดการทรัพย์สิน โดยเฉพาะทรัพย์สินที่เป็นประเภทโรงแรม ผู้เช่าจะต้องเหมาเช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดจากกองทุนเนื่องจากเป็นหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนดไว้ โดยผู้เช่าจะจ่ายค่าเช่าในอัตราที่สูงตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาซึ่งจะมีระยะเวลา 3-5 ปี ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงกับนักลงทุนเนื่องจากรูปแบบการออกแบบโครงสร้างดังกล่าวกำหนดกระแสเงินสดในอนาคตไว้ตายตัว ไม่ได้สะท้อนถึงศักยภาพที่แท้จริงในการทำกำไรของทรัพย์สิน ถือเป็นความเสี่ยงของนักลงทุน เมื่อสิ้นสุดช่วงระยะเวลาที่กำหนดค่าเช่าไว้แล้วนั้นอัตราค่าเช่าอาจมีการปรับลดลงอย่างมากเพื่อเป็นการปรับให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง ส่งผลให้รายรับของกอง PFPO และ กอง REIT นั้นลดต่ำลงและส่งผลให้ราคาของหน่วยลงทุนลดลงตามไปด้วย

ในบางครั้งเราอาจได้ยินนักวิเคราะห์ตลาดหุ้นอธิบายว่าสาเหตุของการที่ราคาของหน่วยลงทุนลดลงนั้นเป็นเพราะกองทุนมีขนาดไม่ใหญ่พอ หรือเป็นเพราะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นรูปแบบการเช่าระยะยาว (leasehold) ซึ่งจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีมีมูลค่าลดลงเรื่อยๆ ไปตามระยะเวลาสัญญาเช่าระยะยาวนั้นๆ โดยอีไอซีมองว่ากลไกของตลาดอสังหาฯ นั้นย่อมดำเนินไปตามระบบ คือ อสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพดีผนวกกับการประเมินราคาอย่างเป็นกลางจะทำให้ได้ผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและได้รับความสนใจจากนักลงทุน ส่งผลให้มีการซื้อขายกันในราคาที่สูงขึ้นกว่ามูลค่าหน่วยลงทุนตอนที่เสนอขายครั้งแรก โดยอสังหาริมทรัพย์ที่ดีจะไม่ได้รับผลกระทบจากขนาดหรือรูปแบบการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ เพราะหากอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างรายได้ที่ดีและมีเกณฑ์ที่จะสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น นักลงทุนที่เข้าตลาดทีหลังก็ยังยินดีที่จะจ่ายค่าพรีเมี่ยมจนกว่าผลตอบแทนจะลดลงมาอยู่ในระดับเดียวกับผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทอื่นๆ เช่นเดียวกันกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น leasehold ถ้าอสังหาริมทรัพย์นั้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้มีการซื้อขายหน่วยลงทุนในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าผลตอบแทนรวมของช่วงระยะเวลาที่เหลือของสัญญาเช่าลดลงต่ำกว่ามูลค่าหน่วยลงทุน ดังนั้น จากข้อสังเกตที่กล่าวมาเกี่ยวกับราคาของหน่วยลงทุนที่ลดลงในตลาดของกองPFPO จะเห็นได้ว่ากอง REIT ซึ่งก็อยู่ในตลาดที่มีความคล้ายคลึงกันจะประสบปัญหาเดียวกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ท้าทายของตลาดกอง REIT นักลงทุนควรพินิจพิจารณาผลประกอบการที่แท้จริงว่าสอดคล้องกับราคายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์ก่อนการลงทุน

กอง REIT ต้องมีการบริหารจัดการควบคุมดูแลกิจการที่แข็งแกร่งจากทรัสตีและผู้จัดการกอง REIT ที่มีคุณสมบัติพร้อม โดยหลักเกณฑ์แล้วทรัสตีจะต้องเป็นสถาบันการเงินอย่างเช่น ธนาคาร หรือ บริษัทหลักทรัพย์ โดยทรัสตีของกอง REIT มีหน้าที่หลักสำคัญ คือ เป็นเจ้าของสินทรัพย์และกำกับดูแลการดำเนินงานรวมไปถึงผลการดำเนินงานของกองทรัสต์และรายงานต่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ทั้งหมด นอกจากทรัสตีแล้วผู้จัดการกอง REIT ก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่เพิ่มมาในโครงสร้างของกอง REIT โดยผู้จัดการกอง REIT จะเป็นองค์กรที่จัดการสินทรัพย์ของกอง REIT และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของกอง REIT ให้แก่ผู้ลงทุนทั้งหมดผ่านการลงทุนและสร้างผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้ที่จะเป็นผู้จัดการกอง REIT ได้จะต้องมีความพร้อมของระบบงานและบุคลากรซึ่งมีประสบการณ์ด้านการจัดการสินทรัพย์และสร้างผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงสามารถบริหารจัดการลงทุนตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต โดยจะต้องมีประสบการณ์ดังกล่าวไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้จัดการกอง REITจะเป็นบริษัทที่เจ้าของทรัพย์สินเดิมจัดตั้งขึ้นมา และถือหุ้นอยู่ เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับผู้เช่าที่มีอยู่และมีประสบการณ์ในการจัดการอสังหาริมทรัพย์เดิมของตนอยู่แล้ว รวมถึงยังมีความรู้ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ของกอง REIT จะมีข้อจำกัดการถือหน่วยทรัสต์ของกลุ่มบุคคลเดียวกันห้ามเกินกว่า 50% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ทั้งหมด ในขณะที่กอง PFPO กำหนดว่าห้ามเกินกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมด จากการตั้งข้อกำหนดให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมสามารถรับส่วนแบ่งในอัตราที่สูงขึ้นที่ 50% ก็เพื่อเป็นแรงจูงใจให้บรรดาเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพต้องการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับกอง REIT และบรรดาเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยังสามารถสนับสนุนการดำเนินงานที่ดีของกองREIT ด้วยการเป็นผู้จัดการกอง REIT หรือผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ (ผู้จัดการกอง REIT จะมุ่งเน้นด้านการลงทุนของกอง REIT  และอาจว่าจ้างผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ให้ดูแลการดำเนินงานของอสังหาริมทรัพย์อีกทอดหนึ่ง) ท้ายที่สุดนี้ การบริหารจัดการและควบคุมดูแลกิจการที่แข็งแกร่งจากทรัสตีควรจะต้องมีการเน้นย้ำเรื่องการรักษาผลประโยชน์เพื่อนักลงทุนทั่วไป พร้อมทั้งอำนาจการตัดสินใจของทรัสตีจะต้องไม่ได้รับอิทธิพลจากสปอนเซอร์ (เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิม) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการประเมินมูลค่าอสังหาฯ เมื่อเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรก รวมไปถึงการเข้าซื้ออสังหาฯ ในเวลาต่อมา และการกำหนดอัตราค่าตอบแทนผู้จัดการกอง REIT และ ผู้บริหารอสังหาฯ

Implication

              Implica

 

กอง REIT จะเป็นเครื่องมือในการลงทุนที่มีความน่าสนใจมากกว่ากอง PFPO เนื่องจากมีขีดความสามารถในการลงทุนที่สูงกว่า แม้จะมีข้อด้อยเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนักลงทุนสถาบัน เนื่องด้วยขนาดของกอง REIT สามารถขยายได้โดยหลายรูปแบบเช่นเดียวกับการขยายบริษัททั่วไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กอง REIT จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนหน้าใหม่ ดังนั้น กอง REIT จะมีการเติบโตมากกว่ากอง PFPO และการดำเนินการในระยะยาวของกอง REIT ก็จะมีศักยภาพมากขึ้น โดยอีไอซีคาดว่ารูปแบบการลงทุนของกอง REIT ใหม่จะช่วยขจัดหรือบรรเทาข้อด้อยเดิมๆ ของกอง PFPO ที่ส่งผลให้ราคาของหน่วยลงทุนลดลงอย่างที่ผ่านมา

 

              Impca

 

นักลงทุนควรพิจารณาหัวข้อดังต่อไปนี้เมื่อจะลงทุนในกอง PFPO และ กอง REIT

·    สำหรับกอง PFPO และ กอง REIT นักลงทุนควรพิจารณาผลกำไรจากการประกอบการในอดีตและความสามารถในอนาคตของอสังหาริมทรัพย์นั้น เช่น รายได้คงที่ของอสังหาริมทรัพย์ก่อนเสนอขายครั้งแรกอยู่ที่เท่าไหร่ หากสปอนเซอร์กอง PFPO/กอง REIT รับประกันผลตอบแทนในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่หลังจากพ้นช่วงระยะเวลาที่ระบุไว้แล้วอสังหาริมทรัพย์นั้นจะยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีเท่าเดิมหรือไม่ โดยอัตราผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการขายขาด (freehold) จะอยู่ที่ประมาณ 6-8% และประมาณ 8-10% สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการสิทธิการเช่าระยะยาว (leasehold) ทั้งนี้ ตามหลักการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น leasehold จะต้องมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อทดแทนกำไรส่วนเกินทุน (capital gain) จากการขายสินทรัพย์ในอนาคตที่ขาดหายไปเมื่อเวลาที่สัญญาเช่าสิ้นสุดลง

·    สำหรับกอง PFPO/กอง REITที่มีอยู่เดิม นักลงทุนควรศึกษาประวัติราคาหน่วยลงทุนและเบื้องลึกของผลตอบแทนของอสังหาริมทรัพย์ โดยควรดูว่าราคาของหน่วยลงทุนมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาของหน่วยลงทุนเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ให้คำนวณอัตราเงินปันผลที่เป็นกระแสเงินสด หารด้วยราคาประเมินอสังหาริมทรัพย์ล่าสุด จะทำให้ทราบผลตอบแทนที่แท้จริงของอสังหาริมทรัพย์นั้น ไม่ใช่เพียงเปรียบเทียบมูลค่าผลตอบแทนที่มีการตีพิมพ์ประกาศ ซึ่งบางครั้งอาจดูว่าอยู่ในอัตราสูงเนื่องจากคำนวณมาจากมูลค่าหน่วยลงทุนที่ลดลงกว่าราคาเสนอขายครั้งแรก ในขณะเดียวกัน นักลงทุนควรเปรียบเทียบผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์ที่แท้จริงกับผลตอบแทนจากราคาที่นักลงทุนจะจ่ายในตลาดรอง (ที่อาจมีมูลค่าหน่วยลงทุนที่ลดลงกว่าราคาเสนอขายตั้งแรก) เมื่อดูแล้วผลตอบแทนจากทั้งสองวิธีเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่

·     พิจารณาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารสินทรัพย์ เช่น ผู้จัดการกอง REIT และทรัสตี (หรือผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์และผู้จัดการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ในกองPFPO)โดยผู้จัดการกอง REIT/ผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ องค์กรเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญในการจัดการและสร้างความเติบโตให้แก่กอง PFPO/กอง REITหรือไม่ รวมไปถึงทรัสตีและผู้จัดการกองทุนรวมอสังหาฯ ได้ทำหน้าที่ในการดูแลตรวจสอบการทำงานของผู้จัดการกองREIT/ผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นที่น่าพอใจหรือไม่

·    พิจารณาประเภทของธุรกิจและสภาพเศรษฐกิจโดยรวม สภาพเศรษฐกิจส่วนภูมิภาคและสภาพเศรษฐกิจโลกมีทิศทางเป็นอย่างไร รวมทั้งพิจารณาดูสภาวะโดยรวมของประเภทธุรกิจของอสังหาริมทรัพย์นั้น เช่น เป็นโรงแรม หรือเป็นคลังเก็บสินค้า เป็นต้น

More Tips

·    การคาดการณ์ผลตอบแทนที่ของกอง REIT ใหม่นั้นสามารถคำนวณได้โดยใช้รายได้สุทธิจากการดำเนินงาน (Net Operating Income: NOI)ของทรัพย์สินในปีล่าสุด (แทนการใช้ตัวเลขประมาณการรายรับในอนาคต) หารด้วยมูลค่ารวมของกอง REIT ตอนเสนอขายครั้งแรก ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุน อสังหาริมทรัพย์ที่เป็น freehold ซึ่งควรมีอัตราผลตอบสินทรัพย์ราว 6% ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์ที่เป็น leasehold ควรมีอัตราผลตอบสินทรัพย์ที่ราว 8-10% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าเพื่อเป็นการชดเชยกำไรส่วนเกินทุนที่ขาดหายไป ณ ตอนสิ้นสุดสัญญาเช่าซื้อ ทั้งนี้ รายละเอียดเกี่ยวกับรายได้สุทธิของสินทรัพย์สามารถหาอ่านได้จากหนังสือชี้ชวน (prospectus)ภายใต้หัวข้อ บทสรุปผู้บริหาร  ตัวอย่าง มูลค่าลงทุนในกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สิน (freehold) ที่กอง REIT จะเข้าซื้อมีราคาประเมินที่เป็นมูลค่าเสนอขายครั้งแรกอยู่ที่ 17,980 ล้านบาท และ 18,400 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าประเมินจากผู้ประเมินสองรายตามหลักเกณฑ์ของการจัดตั้งกอง REIT ทรัพย์สินทั้งหมดดังกล่าวมีรายได้สุทธิจากการดำเนินงาน (NOI) อยู่ระหว่าง 836 ถึง 1,082 ล้านบาทต่อปี สำหรับช่วงปีงบประมาณ 2011-2013 เมื่อพิจารณาจากมูลค่าประเมินและรายได้สุทธิจากการดำเนินงาน สามารถคาดการณ์ได้ว่าอัตราผลตอบแทนต่อปีของกอง REIT น่าจะอยู่ที่ราว 4.5% - 6% 

 

 


LastUpdate 29/07/2557 17:18:53 โดย : Admin
28-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 28, 2024, 4:08 am