ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่”
โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนการที่บริษัทมีแหล่งกระแสเงินสดกระจายตัวทั้งจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วน รวมทั้งสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมที่หลากหลายซึ่งล้วนเสริมให้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัลด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบได้ง่ายจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ ธุรกิจทั้ง 2 ประเภทจัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงเมื่อพิจารณาจากอุปสงค์ของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการทำการตลาดเชิงรุกในหมู่ผู้ประกอบการอาหารบริการด่วน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในแบรนด์สินค้าหลักทั้งในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วนได้ต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะไม่ใช้นโยบายการก่อหนี้เชิงรุกสำหรับการลงทุนใหม่
บริษัทดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด โดยปัจจุบัน บริษัทเซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป ให้บริการอาหารบริการด่วนจำนวน 13 แบรนด์ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหารภายใต้แฟรนไชส์จากต่างประเทศจำนวน 11 แบรนด์และแบรนด์ของบริษัทเองจำนวน 2 แบรนด์ คือ “ริว ชาบู ชาบู” และ “เดอะ เทอเรส” โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดร้านอาหารภายใต้แฟรนไชส์จากต่างประเทศ 2 แบรนด์คือ “เทนยะ” และ “คัตสึยะ” ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 บริษัทมีจำนวนสาขาร้านอาหารรวมทั้งหมด 767 แห่งทั่วประเทศ
โดยปกติแล้ว บริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้จากธุรกิจอาหาร แต่ในด้านกระแสเงินสดนั้น ธุรกิจโรงแรมจะสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่าธุรกิจอาหารเนื่องจากธุรกิจโรงแรมมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมมีความผันผวนมากกว่า โดยผลการดำเนินงานทางการเงินอาจลดลงอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของเหตุการณ์ภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งนี้ ในปี 2556 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 47% ของรายได้รวมทั้งหมด ในขณะที่บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 68% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวมทั้งหมด
เหตุการณ์ประท้วงทางการเมืองในประเทศไทยได้เริ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2556 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการเต็มปี 2556 ของบริษัท แต่เหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 โดยมีการประท้วงอย่างต่อเนื่องและตามมาด้วยการทำรัฐประหารซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ กล่าวคือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 9.9% อยู่ที่ 11.77 ล้านคนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 จากที่เคยมีอัตราเติบโตในระดับ 2 หลักในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในทรรศนะของทริสเรทติ้งเห็นว่าหลังจากการประกาศยกเลิกการห้ามออกนอกเคหะสถานในเดือนมิถุนายน 2557 แล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะกลับมาได้รับประโยชน์จากฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 ของปีได้
อัตราการเข้าพักโรงแรมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจาก 69.4% ในปี 2555 เป็น 79.6% ในปี 2556 สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีอัตราการเข้าพักโรงแรมที่ระดับ 72% เมื่อเทียบกับระดับ 80% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ราคาห้องพักเฉลี่ยของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 3,777 บาทต่อวันในปี 2555 เป็น 4,462 บาทต่อวันในปี 2556 และ 5,186 บาทต่อวันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดจากราคาห้องพักที่สูงกว่าของโรงแรมใหม่ในมัลดีฟส์
ในปี 2556 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 18% สู่ระดับ 17,096 ล้านบาทเนื่องจากรายได้จากธุรกิจอาหารและโรงแรมเพิ่มขึ้น โดยในปี 2556 รายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้น 10% จากการขยายสาขา ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น 28% จากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและผลประกอบการที่ดีของโรงแรมในมัลดีฟส์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 แม้ว่าผลประกอบการของโรงแรมในกรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมือง แต่รายได้รวมของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน สู่ระดับ 8,811 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโรงแรมในต่างประเทศและรายได้ที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจอาหาร โดยรายได้จากโรงแรมในประเทศคิดเป็น 77% ของรายได้จากโรงแรมทั้งหมด เทียบกับระดับ 91% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจากระดับ 19.6% ในปี 2556 เป็น 21.5% ในปี 2556 โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 อัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับลดลงสู่ระดับ 21.4% เมื่อเทียบกับระดับ 23.8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556
เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นจาก 2,390 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 2,938 ล้านบาทในปี 2556 และอยู่ที่ระดับ 1,404 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2555 เป็น 21% ในปี 2556 ถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2557 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากระดับ 5.7 เท่าในปี 2555 อยู่ที่ระดับ 5.4 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 โดย ณ เดือนมิถุนายน 2557 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นหลังจากการชำระหนี้เงินกู้ยืมบางส่วน โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจากระดับ 57.4% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 สู่ระดับ 54.2% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557
บริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยการลงทุนดังกล่าวส่วนใหญ่จะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท ดังนั้น ในระยะปานกลางคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 50%-55% ทั้งนี้ หากบริษัทมีการลงทุนอื่น ๆ เพิ่มเติม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีความรอบคอบในการจัดการโครงสร้างเงินทุนและแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนใหม่
บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
CENTEL163A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
CENTEL163B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
CENTEL167A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
ข่าวเด่น