ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 2,200 ล้านบาทของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ในขณะเดียวกันทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่”
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และขยายกิจการ อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นตามคาดและฐานรายได้ที่คาดว่าจะขยายตัว ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงผลงานของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย แบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วย
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง รวมถึงความกังวลในด้านต้นทุนการดำเนินงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ โดยคาดว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ในช่วง 16,000 ถึง 20,000 ล้านบาทในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า หรือ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนต่ำกว่า 50% อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญจากการรับรู้รายได้หรือสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทลงได้ในอนาคต
บริษัทศุภาลัยเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยตระกูลตั้งมติธรรม ณ เดือนมิถุนายน 2557 ตระกูลตั้งมติธรรมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือครองหุ้นในสัดส่วนทั้งสิ้น 28% และบริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 86 โครงการ ด้วยมูลค่ายอดขายคงเหลือประมาณ 27,000 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้เป็นจำนวนมากประมาณ 40,000 ล้านบาท หรือประมาณ 3 เท่าของฐานรายได้ในปัจจุบัน โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็น 57% และโครงการบ้านจัดสรรอีก 43% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถเสนอขายที่อยู่อาศัยในราคาที่แข่งขันได้
ยอดขายของบริษัทอยู่ที่ 18,900 ล้านบาทในปี 2556 ลดลง 16% จาก 22,442 ล้านบาทในปี 2555 โดยยอดขายที่ลดลงเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งลดลง 30% เป็น 11,947 ล้านบาทในปี 2556 ในขณะที่ยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรอยู่ที่ 6,953 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้น 30% จาก 5,320 ล้านบาทในปี 2555 ทั้งนี้ ยอดขายในครึ่งแรกของปี 2557 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัดส่วน 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 8,085 ล้านบาท ยอดขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากโครงการที่อยู่อาศัยในแนวราบ
บริษัทมีรายได้จำนวน 12,615 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากคอนโดมิเนียมลดลงเล็กน้อย 2% เป็น 5,590 ล้านบาทในปี 2556 รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรเท่ากับ 6,732 ล้านบาทในปี 2556 เติบโต 21% จาก 5,564 ล้านบาทในปี 2555 รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 เพิ่มขึ้น 47% เป็น 5,842 ล้านบาท โดยรายได้จากทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรเติบโต 170% และ 16% ตามลำดับ รายได้ของบริษัทตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2557 จนถึงปี 2560 ส่วนหนึ่งรองรับด้วยยอดรอรับรู้รายได้อยู่แล้ว โดยในครึ่งหลังของปี 2557 บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้จำนวน 12,248 ล้านบาท ในปี 2558 มีจำนวน 15,458 ล้านบาท และระหว่างปี 2559 ถึงปี 2560 มีอีกกว่า 10,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 16,000-20,000 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทมีอัตรากำไรที่สูงกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ 30%-33% ในช่วงปี 2554 จนถึงครึ่งแรกของปี 2557 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 45.82% จาก 36.24% ณ สิ้นปี 2556 อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะลดลง จากการโอนรับรู้รายได้ของโครงการคอนโดมิเนียมในครึ่งหลังของปี 2557 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนอยู่ที่ประมาณ 0.5 เท่า ตั้งแต่ปี 2552 จนถึง ปี 2556 แต่ครึ่งแรกของปี 2557 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุน เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 0.9 เท่า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมขึ้นและลงอยู่ในช่วงระหว่าง 50%-54% ในช่วงปี 2553-2555 ทั้งนี้ ระดับดังกล่าวถือว่าสูงสำหรับอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 28% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ในครึ่งแรกของปี 2557 จากการมีภาระหนี้สินที่สูงขึ้น
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
SPALI14OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 A
SPALI14NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 A
SPALI15OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 745 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 A
SPALI165A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
SPALI172A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 A
SPALI185A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2561 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
ข่าวเด่น