การตลาด
สกู๊ป "คาโอ" กางแผนสร้างโรงงานใหม่ในไทย ปักธงฮับอาเซียน



ตลอดระยะเวลา 50 ปี ที่ บริษัท คาโอ ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย)  ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เห็นได้จากการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง  ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) มีสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าทำตลาดมากว่า  300  รายการ รวม 11  แบรนด์  ประกอบด้วย  กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผ้าและซักผ้า ได้แก่ แอทแทค, ไฮเตอร์ และมาจิคลีน, กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและผู้หญิง ได้แก่ ลอรีเอะ และเมอร์รี่ส์, กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนบุคคล ได้แก่ บิโอเร, เม็น บิโอเร  ,แฟซ่า, เอสเซนเชียล, เอเชียนซ์ และ ลิเซ่

 
 
 
จากยุทธ์ศาสตร์ของการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยใน 4  ประการ คือ ภารกิจ : เราอยู่เพื่ออะไร  ,วิสัยทัศน์ : เรากำลังมุ่งไปทางไหน ,ค่านิยม :เราให้ความสำคัญแก่สิ่งใด  และหลักการ :เราดำเนินการอย่างไร  ถือเป็นภารกิจหลักที่ บริษัท คาโอ ประเทศไทยต้องตีโจทย์ให้แตก  โดยเฉพาะในด้านของภารกิจที่ต้องทำ  นั่นก็คือ  การอุทิศตนเพื่อความอิ่มเอมใจและความผาสุกของมวลมนุษย์ ทุ่มเทพลัง ความสามารถในการสร้างสรรค์  “สิ่งดี” ที่สะอาด, งาม, ถูกสุขอนามัยด้วยเคมีภัณฑ์ที่มีคุณภาพอันเป็นนโยบายหลักของบริษัทที่ต้องส่งมอบให้ถึงผู้บริโภค

นอกจากจะมุ่งเดินหน้าในด้านของการขยายธุรกิจแล้ว  อีกหนึ่งสิ่งที่บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) เดินตามนโยบายของบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่น คือ  การก้าวไปสู่ธุรกิจที่เข้าถึงจิตใจผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดที่สุด และได้รับความเชื่อถือไว้วางใจ  ด้วยการอุทิศตนเพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน  ด้วยเหตุนี้บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จึงต้องเดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้  บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนและเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง  ภายหลังจากบริษัท คาโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(ประเทศญี่ปุ่น)  ไฟเขียวอนุมัติการลงทุนให้ขยายธุรกิจในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งจะเกิดขึ้นในปี  2558 นี้

 
 
 
นายมิจิทากะ ซาวาดะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาโอ คอร์ปอรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี  2507  ปีนี้ถือเป็นปีที่ 50 ของการลงทุนในประเทศไทย  ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

ปัจจุบัน บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล(ประเทศไทย) จำกัด มีโรงงานขนาดพื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ทำการผลิตผลิตภัณฑ์อุปโภค 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเสื้อผ้าและครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลผิวและเส้นผม กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยสำหรับผู้หญิงและเด็ก

นอกจากนี้ ยังทำการผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเหล็ก เกษตร ตลอดจนเคมีภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์อุปโภค ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) มีธุรกิจที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยที่ผ่านมามีรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ที่ประมาณ 80% และผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ 20%

จากการขายตัวทางธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล(ประเทศไทย) มีการส่งออกสินค้าในกลุ่มต่างๆ ไปทำตลาดในต่างประเทศ  เช่น  ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย  และอินโดนีเซีย  ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว  ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล  มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกสินค้าไปทำตลาดในต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 12-13%  หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% ของการทำตลาดของบริษัท คาโอ ในเอเชีย

อย่างไรก็ดี จากอัตราการเติบโตของตลาดในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัท คาโอ คอร์ปอชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) มียอดขายในภูมิภาคเอเชีย คิดเป็นอัตราส่วน 15% ของยอดขายทั่วโลก ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าว บริษัท คาโอ คอร์ปอชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) จึงมีแนวคิดที่จะขยายการลงทุนในประเทศไทย ด้วยการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง บนพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ หรือกว่า 1.65 แสนตารางเมตร ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 4 ปี ที่ได้ลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากพื้นที่ของโรงงานแห่งดังกล่าวมีขนาดใหญ่คิดเป็น 1  เท่าตัวของที่มีอยู่ในขณะนี้

นายมิจิทากะ กล่าวว่า  การลงทุนครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นฐานกำลังการผลิตที่สำคัญในการรองรับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งภายในประเทศไทย ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมทั้งใช้เป็นศูนย์กลางในการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาว่าจะทำการผลิตผลิตภัณฑ์ใด  ซึ่งนอกจากจะลงทุนขยายโรงงานการผลิตในประเทศไทยแล้ว  อาจมีการลงทุนศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตในประเทศไทยเพิ่มเติม จากปัจจุบันบริษัท คาโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น)  มีศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย 1 แห่ง และสำนักงานภูมิภาคอีก 14 แห่ง

นอกจากจะใช้งบก้อนโตลงทุนในประเทศไทย เพื่อรองรับการเติบโตในประเทศและต่างประเทศแล้ว บริษัท คาโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ยังได้วางแผนการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่หลังจากการเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558  จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน ขณะที่โรงงานในประเทศอื่นๆ จะเป็นการจำหน่ายในประเทศนั้นๆ

นายมิจิทากะ  กล่าวต่อว่า นอกจากการลงทุนโรงงานแห่งใหม่แล้ว ขณะนี้บริษัทยังอยู่ในระหว่างการศึกษาศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทย เพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในระบบลอจิสติกส์ และการกระจายสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งช่องทางที่จะใช้ในการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปประเทศอื่นๆ จะเน้นไปที่การขนส่งทางท่าเทียบเรืออีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง

 
 
 
ด้าน นายฮิโรยูกิ คุมาซาวา ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท คาโอ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันบริษัทมีสินค้าเข้าทำตลาดในประเทศไทยทั้งหมด  4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ รวมกว่า  300  รายการ  แต่ถ้าช่วงไหนมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย บริษัทก็จะมีการเพิ่มสินค้าเข้าทำตลาดเป็น 800 เอสเคยู ล่าสุด เพิ่งทำการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 ประเภท คือ ผงซักฟอก “แอทแทค” สูตรใหม่ “อีซี่ ควิก” และผ้าอนามัย “ลอรีเอะ” Super Gentle +

 
 
หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล(ประเทศไทย) มั่นใจว่าสิ้นปีน่าจะมียอดขายเติบโตไม่น้อยกว่าตลาดรวม โดยในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา มียอดขายเติบโตอยู่ที่ประมาณ 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556  แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกประเทศไทยจะมีปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองเกิดขึ้น แต่เนื่องจากบริษัท คาโอ อินดีสเตรียล (ประเทศไทย) จำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน จึงทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น

แนวโน้มที่ดีดังกล่าว ทำให้บริษัท คาโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) มั่นใจว่า ยอดขายของกลุ่มคาโอในไทย ซึ่งประกอบด้วย บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศ ไทย) จำกัด และ บริษัท คาโอ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด ในปี 2557 นี้ น่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 13,000 ล้านบาท เติบโต 2-3% จากปี 2556 โดยยอดขายในไทยคิดเป็น 10% ของบริษัท คาโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น)

จากเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เริ่มฟื้นตัว เช่นเดียวกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่าในไตรมาส 4  ที่กำลังจะถึงนี้การแข่งขันในทุกธุรกิจน่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น  บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จะมีอะไรเด็ดๆ มาสู้คู่แข่งยักษ์ใหญ่ในตลาด คงต้องลุ้นกัน
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 14 ก.ย. 2557 เวลา : 23:26:37
29-09-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 29, 2024, 10:35 am