ปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดตั้งแต่ปลายปี 2556 ที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงครึ่งปีแรกของปีนี้ ส่งผลให้ธุรกิจขายตรงได้รับผลกระทบพอสมควร เนื่องจากธุรกิจถูกขับเคลื่อนด้วยกำลังคน ทำให้บริษัทขายตรงทั้งใหญ่และเล็กต้องออกมาประกาศแผนเชิงรุก เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอม เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของบริษัทจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 9 -10% มาตลอด แต่เนื่องจากปีนี้มีปัจจัยลบหลายด้านเกิดขึ้น ส่งผลให้เป้าหมายรายได้ที่เคยวางไว้ว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับกล่าว ปีนี้อาจไปไม่ถึง โดยเฉพาะเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผู้บริโภคมีการชะลอกำลังซื้อ
อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากเข้าสู่ข่วงครึ่งปีหลัง ทำให้คาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะมีผลการดำเนินธุรกิจที่ดีกว่าช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก แอมเวย์มีแผนที่จะหากลุ่มลูกค้าใหม่เข้ามาทดแทนมากขึ้น ล่าสุดบริษัทได้ทำการปรับกลยุทธ์ในการสร้างแรงจูงใจให้กับนักธุรกิจแอมเวย์ในรอบ 27 ปี โดยพยายามอัดฉีดรายการที่มีความน่าสนใจเพิ่มเติม ทั้งเพิ่มค่าตอบแทนขึ้นอีก 10% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะถูกจ่ายตรงไปยังนักธุรกิจของแอมเวย์
จากการปรับแผนของธุรกิจในครั้งนี้ ถือเป็นการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพของเศรษฐกิจในเมืองไทยที่เกิดขึ้นขณะนี้ รวมถึงยังต้องการมุ่งเน้นให้คนเข้ามาทำอาชีพขายตรงในระยะยาว เนื่องจากแนวทางการดำเนินธุรกิจของแอมเวย์มองนักธุรกิจแอมเวย์เปรียบเสมือน “หุ้นส่วนทางธุรกิจ” ที่ต้องให้การสนับสนุนและให้นักธุรกิจแอมเวย์ได้รับประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เป็นอาชีพที่สร้างงานและสร้างรายได้ที่มั่นคง
ดังนั้น แอมเวย์ จึงออกมาปรับกลยุทธ์ผลตอบแทนใหม่ เพื่อสร้างแรงจูงใจแก่นักธุรกิจแอมเวย์ ให้ได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้น และรางวัลการท่องเที่ยวที่ทำคุณสมบัติได้เร็วขึ้น จากเดิมที่ใช้เวลาดำรงคุณสมบัติ 18 เดือน ให้เหลือ 12 เดือน เพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการจ่ายผลตอบแทนรวมแก่นักธุรกิจแอมเวย์ และสร้างประสบการณ์ท่องโลกกว้างกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี ถือว่ามากที่สุดในธุรกิจเครือข่ายในไทย ซึ่งแผนการจ่ายผลตอบแทนจะเป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งเป็นแผนต้นแบบของธุรกิจเครือข่ายที่แอมเวย์ทั่วโลกใช้มา 55 ปี
นายกิจวัช กล่าวว่า นักธุรกิจแอมเวย์จะได้รับผลตอบแทนเมื่อทำธุรกิจได้ตามที่กำหนด หรือได้รับตามลำดับขั้นความสำเร็จ และมีโปรแกรมพิเศษสำหรับความทุ่มเทที่มากขึ้น เพื่อให้ได้รับรายได้ที่จูงใจเพิ่มขึ้นทั้งระยะสั้นสำหรับผู้เริ่มทำธุรกิจ หรือระยะยาวสำหรับผู้นำองค์กรนักธุรกิจที่สร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งมั่นคงและเน้นการสร้างธุรกิจระยะยาว ปัจจุบันบริษัทมีนักธุรกิจแอมเวย์ที่ดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังและต่ออายุสมาชิกภาพอย่างต่อเนื่องทุกปีจำนวน 330,000 ครอบครัว และมีสมาชิกที่สมัครเพื่อใช้สินค้า 720,000 คน
นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคในขณะนี้แตกต่างไปจากเดิมมาก เพราะมีหลายช่องทางในการสื่อสารเพิ่มเข้ามา ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงต้องปรับแผนการทำตลาดใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ด้วยการเพิ่มบริการ “กิฟฟารีน 1101 ส่งทุกที่ ฟรีทั่วไทย” มาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภค จากแต่เดิมจะมีเพียงศูนย์ธุรกิจ “กิฟฟารีน” 110 ศูนย์ทั่วประเทศ ,ช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.giffarine.com และ “กิฟฟารีน เดลิเวอรี” โทร.0-2619-5222 เฉพาะเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
สำหรับบริการใหม่ “กิฟฟารีน 1101 ส่งทุกที่ ฟรีทั่วไทย” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของธุรกิจขายตรงในประเทศไทยที่ให้บริการสั่งซื้อสินค้าผ่านเลขหมาย 4 หลัก “1101” ที่สั้น กระชับ และจดจำง่าย สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนสมัยใหม่ในการช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์กิฟฟารีนได้ในทันที พร้อมบริการส่งสินค้าถึงทุกประตูบ้านในทุกภูมิภาค ฟรีทั่วไทย ซึ่งการขยายธุรกิจดังกล่าว กิฟฟารีนได้ใช้งบลงทุนไปประมาณ 50 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพื่อให้บริการดังกล่าวเป็นที่รู้จักในระยะเวลารวดเร็ว กิฟฟารีนได้ดึงดาราหนุ่ม “เจมส์ มาร์” มาทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ร่วมโปรโมทบริการสั่งซื้อสินค้าผ่าน“กิฟฟารีน 1101 ส่งทุกที่ ฟรีทั่วไทย” ผ่านภาพยนตร์โฆษณา ชุด “กิฟฟารีน 1101” ภายใต้แนวคิดสะดวกสบายกับบริการพิเศษสำหรับสมาชิกกิฟฟารีน ผ่านเครื่องมือทางการตลาดในหลากหลายช่องทาง ทั้ง above the line และ below the line ตลอดจน “ดิจิตอล มีเดีย” ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภค และสมาชิกกิฟฟารีนทั่วประเทศได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากเปิดตัวสินค้าใหม่และเพิ่มบริการใหม่ๆ เข้ามาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น กิฟฟารีนมั่นใจว่าสิ้นปีจะมียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5,500 ล้านบาทอย่างแน่นอน
นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี บริษัทจะเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และหนึ่งในกิจกรรมที่จะให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น คือ กิจกรรมเอ็กซ์โป ซึ่งได้มีการปรับรูปแบบจากเดิมที่มุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านอีเว้นท์ของ นู สกิน จะจัดตามห้างสรรพสินค้า มาเป็น “นู สกิน เอจล็อค เอ็กซ์โป”
ในส่วนของกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ จะเน้นไปที่การจัดอีเว้นท์มาอยู่ที่ศูนย์บริการ นู สกิน ทั่วทุกภูมิภาคทั้ง 5 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร (จามจุรี สแควร์) เชียงใหม่ นครราชสีมา หาดใหญ่ (สงขลา) และภูเก็ต ซึ่งหลังจากได้เริ่มทดลองจัดงานในรูปแบบดังกล่าวตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่าได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี
นางภคพรรณ กล่าวว่า การที่บริษัทหันมาจัดงานกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผ่านกิจกรรมเอ็กซ์โปมากขึ้น ไม่เพียงแค่เพิ่มจำนวนฐานลูกค้าใหม่เท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มจำนวนผู้ทำธุรกิจให้มากขึ้นได้อีกด้วย เพราะทุกครั้งที่จัดงานได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้บริษัทมียอดจำนวนผู้สมัครสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 120% จำนวนผู้ทำธุรกิจเพิ่มขึ้น 188% จำนวนยอดขายเติบโต 190% เมื่อเทียบกับเดือนแรกของนำกลยุทธ์เอ็กซ์โปมาใช้ ขณะเดียวกันจำนวนตัวเลขของผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวเช่นกัน
ด้าน นายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดกล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ จะหันมาเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวค่อนข้างมีกำลังซื้อ ซึ่งหลังจากเริ่มทดลองทำตลาดการผ่านกลยุทธ์ดังกล่าว ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มนักศึกษา เริ่มหันมาเปิดใจกับธุรกิจนี้มากขึ้น
นอกจากนี้ คังเซนฯ ยังได้ปรับแพ็คเกจสินค้าให้เล็กลง และมีราคาที่ประหยัดขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อมากขึ้น ซึ่งหลังจากเริ่มปรับขนาดสินค้าตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าให้ผลการตอบรับที่ดี ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะดึงร้านเสริมสวยทั่วประเทศเข้ามาเป็นลูกค้าในลักษณะของ Business to Business โดยจะมีทั้งร้านเสริมสวยและธุรกิจขายตรงที่จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มกลุ่มผู้บริโภคให้มากขึ้น
นายอิทธิศักดิ์ กล่าวปิดท้ายว่า ในด้านของแผนการตลาดอื่นๆ ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการรีโนเวทสาขาทั้งหมด 70 สาขา ซึ่งในส่วนของปีนี้จะทยอยรีโนเวทที่ 30 สาขาก่อน ภายใต้งบลงทุน 1 ล้านบาท เพื่อปรับเปลี่ยนโลโก้ และปรับปรุงร้านให้มีความทันสมัย คาดว่าภายใน 2 ปีนับจากนี้ น่าจะรีโนเวทแล้วเสร็จทุกสาขา
การออกมาปรับกลยุทธ์ที่หลากหลายตามความถนัดของแต่ละบริษัท และแต่ละโอกาสในครั้งนี้ สิ้นปีแต่ละค่ายคงมีรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะปัจจุบันยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการทำธุรกิจขายตรงเป็นอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้
ข่าวเด่น