นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า หากเปรียบเทียบนโยบายอาเบะโนมิคส์ ของนายชินโซ อาเบะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เป็น ‘ธนู 3 ดอก’ กับนโยบายประยุทธ์โนมิคส์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็คงเปรียบได้กับ ‘กุหลาบ 3 ดอก’ ซึ่งขมวดนโยบายด้านต่างๆ ออกมาเป็น 3 หมวดใหญ่ ได้แก่ การปฏิรูปการคลัง การปฏิรูปอุตสาหกรรม และการปฏิรูปภาครัฐ โดยมีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการวางรากฐานทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองที่แข็งแกร่ง เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถก้าวพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงขึ้น และเพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นสังคมไทย
กุหลาบดอกแรก การปฏิรูปการคลัง : การลงทุนภาครัฐเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากในการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่เอกชน โดยผ่านการลงทุนในโครงการต่างๆ อาทิ รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ เป็นต้น ในขณะที่บทบาทของรัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จะเข้ามาเป็นอีกช่องทางหนึ่งของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนคนมีรายได้น้อย
กุหลาบดอกที่สอง การปฏิรูปภาคอุตสาหกรรม : อุตสาหกรรมแบบมีเป้าหมายชัดเจน อาทิ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจะได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันเพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานโลก (global supply chain) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
กุหลาบดอกที่สาม การปฏิรูปภาครัฐ : การปฏิรูประบบภาษีมีความจำเป็นต่อการเพิ่มรายได้ภาครัฐและลดความไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทย ในขณะที่ระบบราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐจะได้รับการยกระดับสมรรถนะของหน่วยงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดความล่าช้าในขั้นตอนการทำงาน หรือใช้อำนาจโดยมิชอบ
“ประเทศไทยต้องการการลงทุนและการเร่งใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากภาครัฐ โดยเฉพาะบทบาทที่ใหญ่ขึ้นของ SFIs และต้องการการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่สูงขึ้นจากภาคเอกชนในยุคของ Digital Economy ตลอดจนการปฏิรูประบบภาษี ระบบราชการ และต้องการความโปร่งใส” นายอมรเทพ กล่าว
นายอมรเทพ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยหลังจากนี้ คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นในระดับปานกลางตามความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นของผู้บริโภคและนักลงทุน ในขณะที่รัฐบาลใหม่ก็สามารถขับเคลื่อนโครงการลงทุนให้เดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ แต่ก็อาจไม่สามารถเร่งตัวได้แรงเช่นในอดีต เนื่องจากภาคส่งออกของไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง รวมทั้งหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งทั้งหมดยังเป็นปัจจัยถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
- การส่งออกจะฟื้นตัวในระดับปานกลางตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการส่งออกของไทยที่ยังอาศัยเทคโนโลยีที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำมาก ขณะที่สินค้าเกษตรเผชิญปัญหาอุปทานส่วนเกินที่ล้นอยู่ในตลาดโลก จึงเป็นข้อจำกัดการเติบโตของการส่งออก
-การบริโภคภาคเอกชน จะฟื้นตัวในระดับปานกลางเช่นกันตามการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมอาหาร และภาคท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องให้ขยายตัวขึ้น แต่การบริโภคภาคเอกชนที่มีสัดส่วนใหญ่ราว 50% ของจีดีพี อาจเติบโตไม่สูงมากนักท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่มีระดับสูงซึ่งเป็นอุปสรรคต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน่าเป็นห่วงครัวเรือนที่เป็นหนี้ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยกำลังจะถูกปรับสูงขึ้น
-นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จะยังคงขยายการผลิตในประเทศไทยต่อไปตามความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นและความมีเสถียรภาพทางการเมือง อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น อาจขยับขยายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานของไทย ซึ่งก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ช้าลงกว่าในอดีต
-แม้เศรษฐกิจไทยจะถูกปัจจัยถ่วงดังกล่าวดึงรั้งไว้อยู่บ้าง แต่เชื่อว่าการลงทุนภาครัฐจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องไปยังปีหน้า ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนให้ฟื้นตัวตาม และช่วยลดต้นทุนการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเอกชน นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่ภาครัฐมุ่งยกระดับบทบาทภาคเอกชน โดยเฉพาะการส่งเสริมธุรกิจ SMEs อย่างจริงจัง และ การเน้นการค้าชายแดนผ่านการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเร่งตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2558 นี้
-ด้านความเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2558 นั้น จะมาจากปัจจัยภายนอกที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงอ่อนแอ มากกว่าจะมาจากปัจจัยภายในที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการสิ้นสุดลงของความยืดเยื้อของปัญหาทางการเมือง
ในส่วนของสภาพคล่องนั้น นายอมรเทพ กล่าวว่า สภาพคล่องการเงินโลกที่กำลังตึงตัวมากขึ้นจะผลักดันให้เกิดความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐฯสูงขึ้น แต่ความต้องการถือสินทรัพย์เสี่ยงในระดับภูมิภาคจะทำให้เงินบาทไม่อ่อนค่าอย่างรวดเร็วตามที่คาดไว้ก่อนหน้านี้
-การสิ้นสุดของมาตรการ QE ของสหรัฐฯในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ คาดว่าจะทำให้เกิดความผันผวนทางการเงินขึ้นจากการที่นักลงทุนต้องการขายทำกำไรในตลาดเกิดใหม่โดยหันกลับไปถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯจากการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะถูกปรับให้สูงขึ้นในอนาคต
-คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าเล็กน้อยตามการไหลออกของเงินทุนจากปัจจัยดังกล่าว
-อย่างไรก็ตาม การไหลออกของเงินทุนน่าจะเป็นเพียงระยะสั้น และคาดว่าจะได้รับการชดเชยจากการไหลเข้าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยยังดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความมีเสถียรภาพทางการเมือง
-ในอีกด้านหนึ่ง แม้มาตรการ QE ของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลง แต่การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมของเขตยูโรโซนและญี่ปุ่นเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินฝืดนั้น ถือเป็นปัจจัยที่เพิ่มความต้องการถือสินทรัพย์เสี่ยงในภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ และจะทำให้เงินบาทไทยในปี 2557 ไม่อ่อนค่ามากอย่างที่มีการคาดการณ์กันก่อนหน้า
- เงินบาทจะถูกกดดันมากขึ้นในปี 2558 ตามการไหลออกของเงินทุนจากการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะสูงขึ้น ในขณะที่เงินบาทจะขาดแรงหนุนจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดดังเช่นที่เกิดขึ้นในปี 2557 เนื่องจากคาดว่าการนำเข้าจะสูงขึ้นเพื่อเติมเต็มความต้องการลงทุนที่มากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดขึ้น
ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลใหม่สามารถจัดการกับแรงกดดันเงินเฟ้อได้ดีโดยใช้มาตรการต่างๆเพื่อลดภาระทางการเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เป็นเหตุให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของธปท.จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้เข้าสู่ระดับปกติออกไป
-รัฐบาลใหม่ได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจและรัฐวิสาหกิจเป็นอย่างดีเพื่อช่วยตรึงราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องจ่าย และทำให้ต้นทุนสาธารณูปโภคต่างๆไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
-ราคาพลังงานที่ต่ำลงจากกระบวนการปฏิรูปพลังงาน ช่วยลดภาระทางการเงินของภาคครัวเรือนผ่านการลดราคาก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือนและต้นทุนการเดินทาง
-มาตรการทางภาษียังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะมีการทบทวนในปีหน้า
-ถึงแม้จะมีความพยายามจากภาครัฐที่จะลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่ก็คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นในปีหน้าตามความต้องการของภาคธุรกิจที่ต้องการผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค ในขณะที่การปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจะได้รับการทบทวนในปลายเดือนกันยายนปีหน้า
-การจัดเก็บภาษีให้สูงขึ้นทั้งที่มาจากภาษีการขาย ภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และภาษีการบริโภคประเภทอื่นๆ เช่น บุหรี่ ชาเขียว เป็นต้น จะทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น รวมไปถึงการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการแม้จะมีผลเล็กน้อยต่อการปรับขึ้นของเงินเฟ้อก็ตาม
กล่าวโดยสรุป แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงท่ามกลางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าอันเนื่องมาจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอ เป็นสาเหตุทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของธปท.เลื่อนการตัดสินใจที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปเป็นปีหน้า อย่างไรก็ตามมีความเสี่ยงที่นโยบายการเงินจะไม่สามารถนำมาใช้สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ หากเกิดความผันผวนรุนแรงขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกหรือเศรษฐกิจภูมิภาค ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 2.00% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เคยต่ำสุดอยู่ที่ 1.25% ซึ่งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% อาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตรงจุดนี้เองอาจช่วยอธิบายว่าทำไมคณะกรรมการนโยบายการเงินจึงจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสำรองกระสุนไว้ใช้ในช่วงจังหวะเวลาของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ข่าวเด่น