ราคายางพาราที่ปรับตัวลดลง เป็นผลมาจากภาวะความไม่สมดุลของผลผลิตและการบริโภคยางพาราในตลาดโลก ราคายางพาราที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากผลผลิตยางพาราโลกในช่วงปี 2010-14 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเฉลี่ยปีละ 4.2%จากการเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกในระหว่างปี 2005-08 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคายางพาราอยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั่วโลกมีพื้นที่ปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นราว 11.3 ล้านไร่ (ยางพาราจะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากปลูกแล้วประมาณ 6-7 ปี) ในขณะความต้องการบริโภคยางพาราโลกมีการเติบโตในระดับต่ำเฉลี่ยปีละ 2.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ยางพาราขั้นสุดท้าย (ยางล้อและผลิตภัณฑ์ยาง เช่น ถุงมือยาง) เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และจีน ที่มีสัดส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์ยางรวมกันกว่า 62% ของการบริโภคทั้งโลก (รูปที่ 1) ประกอบกับในช่วงปี 2006-11 ที่ราคายางพาราสูงกว่าราคายางสังเคราะห์ (สินค้าทดแทนกัน) ทำให้ในปัจจุบันผู้ประกอบการหันมาใช้ยางสังเคราะห์เพิ่มขึ้น (รูปที่ 2) จากสภาวะดังกล่าวทำให้ตลาดยางพาราโลกเข้าสู่ภาวะสินค้าล้นตลาด(Oversupply) ผลักดันให้ปริมาณสต็อกยางพาราโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (รูปที่ 3) โดยในปี 2014 คาดว่าสต็อกยางพาราโลกจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 3.2 ล้านตัน นับเป็นระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งปริมาณสต็อกยางพาราที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ประกอบกับราคายางสังเคราะห์ที่มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มีผลให้ราคายางพาราปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา
โดยราคายางพาราที่ปรับตัวลดลงดังกล่าว กระทบต่อรายได้ของประเทศและเกษตรกรค่อนข้างมาก ยางพาราถือได้ว่าเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย เห็นได้จากรายได้จากการส่งออกยางพาราในปี 2013 ที่มีมูลค่าสูงถึง 2.5 แสนล้านบาท มากเป็นอับดับ 1 ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด และมากเป็นอันดับ 8 ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทย โดยราคาส่งออกยางพาราที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2012 ส่งผลให้ไทยสูญเสียรายได้จากการส่งออกยางพาราไปแล้วราว 4.2 แสนล้านบาท และส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกยางซึ่งมีจำนวนราว 1.4 ล้านครัวเรือน ลดลงโดยเฉลี่ย 132,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี นอกจากนี้ ราคายางพาราที่ลดลงยังส่งผลให้รายได้ของแรงงานกรีดยางปรับตัวลดลงตามไปด้วย เนื่องจากการจ่ายค่าจ้างกรีดยางจะใช้ระบบแบ่งปันผลประโยชน์จากรายได้เป็นเกณฑ์ โดยในปี 2011 แรงงานมีรายได้จากการกรีดยางวันละ 1,060 บาท ในขณะที่ในปัจจุบันแรงงานมีรายได้เพียง 380 บาทต่อวัน หรือปรับตัวลดลงราว 680 บาทต่อวัน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าราคาที่ลดลงจะมีผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจ แต่การแก้ปัญหาของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา กลับยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากข้อมูลในอดีต พบว่า ราคายางพาราจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏจักรราคาในช่วงขาลงได้ ก็ต่อเมื่อตลาดยางพาราเข้าสู่ภาวะสินค้าขาดตลาด (Excess demand) ตัวอย่างเช่น ภาวะสินค้าขาดตลาด 0.6 ล้านตันที่เกิดขึ้นในปี 2000 ที่นำไปสู่การสิ้นสุดของวัฎจักรราคาขาลงที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่า 4 ปี โดยภาวะดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันก็ต่อเมื่อมีการกระตุ้นให้การ บริโภคยางพาราโลกเพิ่มขึ้นจากปีนี้อีกราว 1 ล้านตัน หรือทำการปรับลดปริมาณผลผลิตยางพาราโลกลงจากปีนี้อีก 1 ล้านตัน ซึ่งในแง่ของการบริโภคจะพบว่าไทยมีศักยภาพในการกระตุ้นที่ต่ำมาก เนื่องจากไทยมีการบริโภคผลิตภัณฑ์ยางพาราขั้นสุดท้ายเพียง 0.2% ของ การบริโภคทั้งโลก ในขณะที่การจัดซื้อน้ำยางมูลค่า 835 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในโครงการซ่อมบำรุงถนนสามารถช่วยเพิ่มการบริโภคยางพาราได้เพียง 2 หมื่นตันเท่านั้น ในส่วนของผลผลิต แม้ไทยจะมีศักยภาพในการปรับลดผลผลิต (ไทยมีผลผลิตยางพาราคิดเป็น 34% ของผลผลิตทั้งโลก) แต่มาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่ออกมายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการลดผลผลิตมากนัก เช่น โครงการสนับสนุนเงินแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการรวบรวมยางและแปรรูปยาง ที่ไม่มีผลต่อการลดผลผลิต หรือโครงการสนับสนุนการโค่นยางเก่าปีละ 4 แสนไร่ ที่ช่วยให้ผลผลิตยางพาราลดลงเพียงราวปีละ 7 หมื่นตัน (ต้นยางเก่าจะให้ผลผลิตต่อไร่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย) จึงไม่น่าแปลกใจที่ในช่วงที่ผ่านมาราคายางพารายังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่มาตรการลดผลผลิตของกลุ่มเกษตรกรก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะมีปัญหา Free rider ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มเกษตรกรมีการออกมาตรการลดผลผลิตยางพารา แต่มาตรการดังกล่าวกลับไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากการลดผลผลิตยางพาราเพื่อยกระดับราคามีปัญหา Free rider กล่าว คือ เกษตรกรที่ไม่เข้าร่วมลดผลผลิตสามารถได้ประโยชน์จากราคาที่เพิ่มขึ้นในช่วง ที่ผลผลิตลดลง ส่งผลให้เกษตรกรไม่มีแรงจูงใจที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว หรือเมื่อเข้าร่วมแล้ว พอราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้น เกษตรกรก็จะกลับมากรีดยางอีกครั้ง ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาผลผลิตยางพาราของไทยยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่อง อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่กลุ่มเกษตรกรพึงตระหนัก คือ การลดผลผลิตของไทยเพื่อยกระดับราคายางพาราเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน เพราะราคาที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้เกษตรกรในประเทศอื่นๆ มีแรงจูงใจในการเพิ่มผลผลิต ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็จะทำให้ราคากลับมาลดลงอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น การลดการผลิตของไทยเพียงประเทศเดียวยังจะส่งผลให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาด (market share) ในตลาดยางพาราโลกอีกด้วย
อีไอซี มองว่า ราคายางพารายังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะต่อไป ภาวะผลผลิตยางพาราล้นตลาด ยังมีแนวโน้มดำเนินต่อไปในช่วง 2-4 ปีข้างหน้า เนื่องจากปริมาณผลผลิตยางพารายังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ต้นยางพาราที่ปลูกในช่วงกลางทศวรรษ 2000 จะเข้าสู่ช่วงอายุที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง ประกอบกับต้นยางพาราที่ปลูกใหม่ในช่วงปี 2009-11 อีกราว 5.6 ล้านไร่ ก็กำลังจะเริ่มให้ผลผลิตในอีก 2-3 ปี จากนี้ ในขณะที่การบริโภคยางพารา แม้จะมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ รวมทั้งการที่ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะหันมาบริโภคยางพาราทดแทนยาง สังเคราะห์เพิ่มขึ้น (จากราคายางพาราที่ถูกกว่า) แต่แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของความต้องการดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับปริมาณผลผลิตยางพาราที่เพิ่มสูงขึ้นได้ ประกอบกับราคายางสังเคราะห์ยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง (แต่ยังสูงกว่าราคายางพารา) จากภาวะผลผลิตล้นตลาดและราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งจาก 2 ปัจจัยดังกล่าว จะส่งผลให้ราคายางพารายังมีแนวโน้มปรับลดลงในระยะต่อไป
|
ข่าวเด่น