นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น จากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปลายปี 2558 ที่จะถึงนี้เป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เนื่องจากศักยภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความน่าสนใจ ด้วยจำนวนประชากรรวมที่มีถึง 600 ล้านคน ซึ่งนับเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจใน AEC จะมีจีดีพีเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 7% ต่อปี
นอกจากนี้ กลุ่มประเทศ AEC ได้ขยายการรวมตัวไปสู่ประเทศชั้นนำด้านเศรษฐกิจของเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ หรือ AEC+3 ซึ่งได้เข้ามาทำการค้าและการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้มีการเติบโตรุดหน้า
ในส่วนของธนาคารยังเดินหน้ากลยุทธ์ในขยายเครือข่ายในครอบคลุมการให้บริการในภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ธนาคารจะพยายามเปิดสาขา หรือยกระดับเป็นธนาคารท้องถิ่น หากสามารถทำได้ เพื่อสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยในเดือนพฤศจิกายน ธนาคารจะเปิดทำการธนาคารในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว ) ในฐานะธนาคารท้องถิ่น และจะเดินหน้าเข้าไปในกัมพูชา โดยกำลังอยู่การขออนุญาตจากทางการกัมพูชาว่าจะเป็นสาขาหรือสามารถเป็นธนาคารท้องถิ่นได้เลย ส่วนในเมียนมาร์ถึงแม้ว่าธนาคารจะยังไม่ได้รับอนุญาติให้เปิดสาขาได้ในการพิจารณาของทางการพม่าครั้งล่าสุดที่ผ่านมา แต่ธนาคารยังทำงานร่วมกับพันธมิตรธนาคารท้องถิ่นในการทำธุรกิจต่อไป เพราะโอกาสทางธุรกิจในเมียนมาร์ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
ด้าน ร.อ.สุวิพันธุ์ ดิษยมณฑล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DIPT) กล่าวว่า ตัวเลขการค้าระหว่างไทย และ AEC+3 ในช่วงเดือน ม.ค.-ส.ค. ปี 2557 มีมูลค่า 3,725,335 ล้านบาท สำหรับผลของการรวมตัวของ AEC+3 ที่มีต่อการค้าของไทย เชื่อว่าทิศทางของการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศในAEC+3 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะก่อให้การเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ทางธุรกิจ ซึ่งการรวมตัวของ AEC+3 นอกจากจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจไทยไปสู่ตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ในทางกลับกันก็จะมีความท้าทายจากการแข่งขันกับธุรกิจในตลาดที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญในการหาข้อมูลและปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ อาทิ การพัฒนาแบรนด์ของสินค้า หรือเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมมากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า
ขณะที่ นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.ปี2557 ประเทศในกลุ่ม AEC+3 ได้เข้ามาลงทุนในอาเซียน คิดเป็น 50% จากมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอาเซียนด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แรงงานที่มีศักยภาพสูง ประกอบกับการมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการลงทุนจากนานาชาติ ทว่าการรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอาจส่งผลให้ประเทศไทยพบความท้าทายหลายประการ แต่อย่างไรก็ตามบีโอไอก็พร้อมที่จะนำเสนอแผนสนับสนุนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาในไทย (Inbound Investment) และนักลงทุนไทยที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ (Outbound Investment) ที่จะมอบสิทธิประโยชน์ทั้งในด้านภาษีและด้านอื่นๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกสิกรไทย ร่วมมือกับ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และนิตยสารดิ อีคอนอมิสต์ จัดงาน The AEC+3 Summit & Expo 2014 ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2557 ที่จะถึงนี้ ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แอทเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจไทยได้เพิ่มองค์ความรู้และมีโอกาสลต่อยอดธุรกิจของตนให้สามารถรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้ พร้อมเดินหน้ายกระดับการให้บริการด้านการเงินการธนาคารในภูมิภาคนี้ด้วย
ข่าวเด่น