หลังจาก "นายบาวเค่อ ราวเออร์ส" ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย พม่า กัมพูชา และลาว ต้องเดินทางไปรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของยูนิลีเวอร์ ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ หลังจากเข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นระยะเวลา 5 ปี 6 เดือน ส่งผลให้กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย ต้องปรับยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจใหม่ ด้วยการแต่งตั้งแม่ทัพใหม่เข้ามาบริหารงานแทนนายบาวเค่อซึ่งหมดวาระไป
โดยผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของกลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ในประเทศไทย คือ "นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์" ด้วยประสบการณ์การทำงานกับยูนิลีเวอร์ที่ยาวนานกว่า 22 ปี โดยมีประสบการณ์ทางด้านการตลาดและการบริหารผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ ในระดับภูมิภาค เช่น จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ จึงทำให้นางสุพัตราได้รับเลือกให้เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย
ภายหลังจากเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา นางสุพัตราได้ออกมาประกาศเป้าหมายการเติบโตของบริษัทยูนิลีเวอร์ ว่า ในแต่ละปีจะต้องมีรายได้เติบโตทางธุรกิจอย่างน้อยสองเท่า ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจใน 5 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย 1. สร้างความรักความผูกพันต่อแบรนด์ ด้วยการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมคอนเนคและสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคด้วยการตลาดแบบดิจิตอลมากขึ้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเราร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการสร้างเซกเมนต์ตลาดใหม่ๆ เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ให้หลากหลายและครอบคลุมทุก ๆ ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย
2. การผลิตมาตรฐานระดับโลก พร้อมลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในฐานะที่เป็นฐานการผลิตหลักที่มีกำลังการผลิตใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และมีศักยภาพการผลิตสินค้าคุณภาพเยี่ยมจำนวน 4,700 ล้านชิ้นต่อปี และที่สำคัญ คือ กระบวนการผลิตมุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยโรงงานทั้ง 8 โรงของยูนิลีเวอร์ประเทศไทย ภายในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังและเกตเวย์ประสบความสำเร็จในการลดขยะฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
3. พันธมิตรทางการค้า โดยสร้างความร่วมมือระหว่างยูนิลีเวอร์กับคู่ค้าให้เกิดแผนการทำงานร่วมกันในทุกช่องทาง ทั้งโมเดิร์นเทรด และร้านค้าแบบดั้งเดิม เพื่อตอบสนองลูกค้าทุกคนในทุกช่องทางอย่างเหมาะสม
4. ในด้านบุคลากร ยูนิลีเวอร์ได้รับการคัดเลือกให้เป็น “นายจ้างดีเด่นอันดับหนึ่ง” ในกลุ่มบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลูกจ้างอยากทำงานด้วย ซึ่งยูนิลีเวอร์เน้นการสร้างผู้บริหารรุ่นใหม่ เพื่อให้พร้อมสำหรับการพัฒนาในอนาคต ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการเรียนรู้และการสร้างผลงาน และเร่งสร้างและสนับสนุนคนไทยที่มีความสามารถในการหาประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรระดับบริหารให้มีความสามารถทัดเทียมในระดับนานาชาติ
5. ปฏิบัติการเป็นเลิศในทุกๆ วัน ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่กระตือรือร้น โฟกัสที่เป้าหมายเพื่อผู้บริโภคเป็นหลัก จะช่วยให้กลยุทธ์ทั้ง 4 ข้างต้นที่วางแผนไว้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานกรรมการบริหารคนใหม่ กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย 3 ปีนับจากนี้ (2557 – 2559) บริษัทมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท ลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภํณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งจากผลการศึกษาตลาด พบว่า โดยเฉลี่ยคนไทย 1 คน จะใช้สินค้าของยูนิลีเวอร์อย่างน้อย 3 ครั้งในหนึ่งวัน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ ยูนิลีเวอร์ มั่นใจว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าให้ก้าวไปข้าวหน้าได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง
นางสุพัตรา กล่าวต่อว่า การเติบโตทางธุรกิจที่วางไว้จะเดินอยู่ในกรอบของแผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของยูนิลีเวอร์ (Unilever Sustainable Living Plan) ซึ่งแผนนี้ได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2553 เป็นรูปแบบใหม่ในการดำเนินธุรกิจที่ยูนิลีเวอร์ทั่วโลกยึดถือเป็นหัวใจและแนวทางในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด โดยจะสร้างการเติบโตทางธุรกิจ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ ยูนิลีเวอร์ เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
จากแนวทางธุรกิจในอีก 3 ปีที่วางไว้ โดยเริ่มนับจากปีนี้ ยูนิลีเวอร์ได้เริ่มลงทุนขยายธุรกิจไปบ้างแล้ว ด้วยการก่อสร้างอาคารสำนักงานยูนิลีเวอร์ใหม่ มูลค่า 2,600 ล้านบาท และการลงทุน 2,000 ล้านบาทสำหรับคลังสินค้าแห่งใหม่ พร้อมกับเงินลงทุนอีก 1,500 ล้านบาทเพื่อสร้างห้องเย็นไอศกรีมแห่งใหม่ รวมไปถึงการเตรียมขยายโรงงานผลิตเครื่องใช้ส่วนบุคคลชนิดเหลวมูลค่า 1,200 ล้านบาท และการขยายโรงงานผลิตอาหารมูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งแผนการลงทุนดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จในภายในปี 2559
นางสุพัตรากล่าวอีกว่า กลยุทธ์ที่บริษัทจะนำมาใช้กับการทำตลาดในประเทศไทยนับจากนี้ จะเน้นไปที่การสร้างการเติบโตให้กับตลาด ด้วยการสร้างเซ็กเม้นต์ตลาดใหม่ๆ เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มสินค้าเดิมที่มีอยู่ ขณะเดียวกันยังถือเป็นอีกกลยุทธ์ในการขยายพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ซึ่งในส่วนของประเทศไทยยังมีสินค้าอีกหลายตัวที่มีจำหน่ายในต่างประเทศแล้ว แต่ยังไม่ทำตลาดในประเทศไทย บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสดังกล่าวด้วยการเลือกสินค้าของยูนิลีเวอร์อีกกว่า 400 แบรนด์ทั่วโลกเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย
นอกจากนี้ จากแนวโน้มของกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีการประเมินว่า ในอีก 6 ปี หรือประมาณปี 2563 ประเทศไทยจะมีระดับชนชั้นกลางมากขึ้นเป็น 50 ล้านคน ซึ่งจะเป็นฐานตลาดที่ใหญ่และมีกำลังซื้อมากประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ไปเป็นที่เรียบร้อย ยูนิลีเวอร์จึงเล็งเห็นโอกาสดังกล่าว เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน อีกทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐานอันแข็งแกร่ง มีภูมิศาสตร์ดี ระบบสาธารณูปโภค การสื่อสารต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงทำให้ยูนิลีเวอร์มีความมั่นใจในการขยายธุรกิจระยะยาวในประเทศไทย
ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย มีแบรนด์สินค้าของยูนิลีเวอร์เข้าทำตลาดอยู่กว่า 30 รายการ จาก 12 กลุ่มสินค้า ซึ่งในจำนวนดังกล่าว 8 กลุ่มสินค้าเป็นผู้นำตลาด ซึ่งในส่วนของกลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้ให้มากที่สุด คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล คิดเป็นอัตราส่วน 40% ตามด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน 36% อาหารและไอศกรีม 24%
แม้ว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีปัจจัยลบเกิดขึ้นหลายด้าน แต่กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ยังคงเดินหน้าใช้งบกว่า 7,000 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมการตลาด กิจกรรมส่งเสริมการขาย และโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าในเครืออย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของปีนี้จะหันมาใช้สื่อดิจิตอลและทีวีดิจิตอลมากขึ้น เนื่องจากเป็นสื่อใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากแนวทางการทำตลาดดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยังคงมีรายได้เติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ยุทธศาสตร์ที่แม่ทัพหญิงคนใหม่ประกาศออกมา น่าจะผลักดันให้ กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ก้าวมาอยู่ในแถวหน้าของภูมิภาคได้ไม่ยากนัก เพราะด้วยประสบการณ์การทำงานร่วมกับยูนิลีเวอร์ที่ยาวนานถึง 22 ปี ประกอบกับเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในภูมิภาคมาหลายตำแหน่ง อีกทั้งยังเป็นคนไทย จึงน่าจะเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี สิ่งดังกล่าวหากนำมาวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดี เป้าหมายยอดขายที่วางไว้ไม่ว่าจะเป็นยอดขายในประเทศ หรือการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศ น่าจะไม่ไกลเกินเอื้อม
ข่าวเด่น