"เมืองไทยประกันชีวิต" ปลื้มผลงาน 9 เดือน เบี้ยรับรวมทะลุ 5.7 หมื่นล้าน รั้งอันดับ 1 พร้อมลุยแข่งไตรมาส 4 รับเทศกาลภาษี ชี้โอกาสประกันชีวิตยังสดใส หลังประเมินสัดส่วนเบี้ยประกันต่อจีดีพีแตะ 6% ในอีก 3 ปี
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ตัวเลขเบี้ยประกันชีวิตรับรวมของทั้งอุตสาหกรรม ณ สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ 331,150 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16% โดยแนวโน้มการแข่งขันในไตรมาสสุดท้ายของปียังเป็นไปอย่างเข้มข้น เนื่องจากในช่วงสิ้นปีประชาชนจะมีการตื่นตัวในการหาผลิตภัณฑ์สำหรับลดหย่อนภาษี โดยคาดว่าอุตสาหกรรมประกันชีวิตยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย 4 ปัจจัยหลัก คือ 1 ประชาชนที่เข้าใจและเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ของการประกันเพิ่มขึ้นมาก
ส่วนปัจจัยที่ 2. ช่องทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์และช่องทางตัวแทน ปัจจัยที่ 3 คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งในปัจจุบัน คือ การตอบโจทย์ด้านการประกันชีวิตและสุขภาพ และปัจจัยสุดท้าย คือ การเป็นสังคมสูงวัยที่คาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป สัดส่วนเกิน 10 % ของประชากร ซึ่งจะส่งผลให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุออกมามากขึ้น
“โอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมประกันชีวิตมีมากขึ้นจากความรู้ความเข้าใจของประชาชนในเรื่องประกันชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนของเบี้ยประกันชีวิตต่อจีดีพีมีราว 4.1 % เพิ่มขึ้นจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 2%เท่านั้น ซึ่งจากการหารือร่วมกันของหลายฝ่าย มองว่าโอกาสที่เบี้ยประกันชีวิตต่อจีดีพีจะเพิ่มขึ้นถึง 6% ในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้ามีอยู่สูง โดยเฉพาะประกันสุขภาพที่เบี้ยรวมที่อยู่ราว 4 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 12% จากปีก่อน และนับว่าเป็นการเติบโตต่อเนื่องจาก 5 ปีที่ผ่านมา” นายสาระกล่าว
นายสาระกล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจของเมืองไทยประกันชีวิตในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สามารถเป็นอันดับ 1 ในเบี้ยรับปีแรก ที่มีเบี้ยประกัน 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโตสูงขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เบี้ยรับใหม่อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 35% และผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมา สามารถทำเบี้ยรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 57,474 ล้านบาท เติบโต 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มากกว่าเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 15 % ซึ่งบริษัทจะรักษาการเติบโตในระดับนี้ต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทได้มองโอกาสของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้เปิดสำนักงานผู้แทน ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดในกลุ่ม CLMV หรือ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม เพิ่มเติม ซึ่งอาจจะขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจในประเทศกลุ่มนี้ ซึ่งอาจจะต้องเริ่มจากประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยก่อน
ข่าวเด่น