"พฤกษา เรียลเอสเตท" เบรกลงทุนในต่างประเทศ เหตุประสบปัญหามากมาย ทั้งกฎหมายไม่เอื้ออำนวยต่อกลุ่มทุนข้ามชาติ ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา พร้อมเดินเครื่องเต็มสูบลุยลงทุนในไทย โฟกัสทั้งกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งเป้าลงทุนปีหน้า 80 โครงการ
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทชะลอการลงทุนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งประชาคมอาเซียน (เออีซี) ออกไปก่อน เนื่องจากขณะนี้ยังมีบุคลากรไม่พร้อม อีกทั้งที่ออกไปลงทุนไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาติดขัดข้อกฎหมายที่ไม่แน่นอน ความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา จึงจะเน้นการลงทุนในไทยเป็นหลักก่อน เพราะมีโอกาสเติบโตดีกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเปิด AEC ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ความต้องการที่พักอาศัยมากขึ้น
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทพฤกษา กล่าวว่า ปัญหาด้านกฎหมายถือว่าสำคัญที่สุด รองลงมาคือ ปัญหาด้านการเงิน เช่น กฎหมายการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน เพราะแต่ละประเทศที่เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ เช่น ที่เวียดนาม ก็จะต้องไปร่วมทุนกับชาวเวียดนาม ที่เกาะมัลดีฟส์ ก็มีปัญหาทางไม่สามารถโอนเงินกลับมาในไทยได้ หรือที่อินโดนีเซีย ก็มีปัญหาด้านวัฒนธรรมและข้อกฎหมาย หรือเมื่อเร็ว ๆ นี้มีนักลงทุนจากญี่ปุ่นมาชักชวนไปลงทุน แต่บริษัทก็ไม่ได้ตัดสินใจ และล่าสุดมีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในมาเลเซียมาชักชวนบริษัทไปลงทุนในมาเลเซีย แต่บริษัทยังไม่ตัดสินใจ โดยขณะนี้ยังคงเหลือการลงทุนที่อินเดียเพียงแห่งเดียว เพราะยังมีที่ดินเหลืออยู่ แต่คาดว่าเมื่อพัฒนาโครงการแล้วเสร็จตามแผน ก็จะถอนการลงทุนกลับมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานในไทยนั้น ยังคงรุดหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีหน้าจะเพิ่มขึ้น และทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ต่อเนื่องจากปีนี้ ตามยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเปิดโครงการใหม่ ซึ่งปีนี้มีถึง 62 โครงการ และปีหน้าจะเพิ่มอีก 80 โครงการ รวมถึงการบริหารทรัพยากรบุคคลได้ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายได้
ขณะเดียวกัน มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากต่างจังหวัดจากปัจจุบัน 7% เป็น 8-9% เนื่องจากมองว่าความต้องการซื้อยังมีมาก อีกทั้งกำลังซื้อของคนต่างจังหวัดปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจ และยิ่งเปิด AEC ที่ทำให้มีการค้าขายระหว่างกันมากขึ้น จะช่วยให้ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ ขยายตัวขึ้นด้วย ซึ่งบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการเพิ่มในจ.เชียงใหม่ ขอนแก่น ระยอง ภูเก็ต และอยุธยา รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่น่าสนใจที่จะเข้าไปเปิดโครงการ เพื่อรองรับความต้องการของทั้งคนไทยและต่างชาติ
นายทองมา กล่าวว่า ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนของปี 2557 ยังมีเติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถทำรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ได้มากถึง 30,372 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 25,108 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากทาวน์เฮาส์ 17,039 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทที่ปรับปรุงขั้นตอนการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถลดระยะเวลาในการก่อสร้าง และส่งมอบบ้านให้ลูกค้าได้เร็วขึ้น ทำให้รายได้จากทาวน์เฮาส์เพิ่มมากขึ้น 24% รายได้จากคอนโมิเนียม 6,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น อาทิ ไอวี่ แอมพิโอ, แชปเตอร์วัน, พลัม บางแค, คอนโดเลต ไอซ์ ราชเทวี และ เดอะ ไพรเวซี่ และรายได้จากบ้านเดี่ยว 6,796 ล้านบาท
โดยในช่วง 9 เดือนมีรายได้เพิ่มขึ้นส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 4,774 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่าน ที่มีกำไร 3,540 ล้านบาท และแม้ว่าบริษัทจะคาดการณ์ว่าแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะชะลอตัวลงจากปีก่อนประมาณ 10% แต่บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายรายได้ของปีนี้ ที่ตั้งไว้ 42,000 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการรอการขาย (แบล็ค ล็อค) อีก 12,000 ล้านบาท นับเป็นไตรมาสที่รับรู้รายได้สูงสุดในปีนี้
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทเปิดโครงการใหม่แล้ว 52 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 48,685 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮาส์ 27 โครงการ บ้านเดี่ยว 15 โครงการ และคอนโดมิเนียม 10 โครงการ โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 10 โครงการ มูลค่าประมาณ 9,600 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการที่เปิดขายอยู่ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557จำนวน 180 โครงการ มูลค่าสินค้าที่ยังสามารถขายได้รวม 77,997 ล้านบาท และยังจะมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 38,794 ล้านบาท ที่สามารถรองรับรายได้ทั้งในปีนี้และในอนาคต
ณ สิ้นไตรมาส 3 พฤกษา สามารถบริหารรอบธุรกิจ (Business Cycle Time) ได้ดีขึ้น โดยระยะเวลาของการก่อสร้างบ้านแนวราบ (ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว) จากจองถึงโอนสั้นลงเหลือเพียง 90 วัน เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2556 ที่รอบธุรกิจใช้เวลา 146 วัน ทั้งนี้เนื่องจากโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ โรงงานที่ 1-5 สามารถผลิตบ้านได้เฉลี่ย 725 หลังต่อเดือน สูงขึ้นถึง 113% จากปกติที่มีกำลังการผลิตบ้าน 640 หลังต่อเดือน
ข่าวเด่น